นักการศึกษาไทยก็ให้ความสำคัญกับการคิดเหมือนกัน ในหลักสูตรที่ใช้ในการเรียนการสอน ก็มีการระบุเป้าหมายที่ชัดเจนว่า ต้องการให้ผู้เรียนเป็นผู้ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น นับว่าเป็นวัตถุประสงค์ของหลักสูตรที่ใช้ภาษาได้คล้องจอง จำง่าย แต่ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ เพราะผู้ปฏิบัติตีความคำว่าคิดเป็นไปคนละทิศคนละทาง
ความจริงคนไทยก็มีวิธีการเรียนรู้ของตนเอง ที่เรียกกันว่า หัวใจนักปราชญ์ อันประกอบด้วย สุ จิ ปุ ลิ คือ ฟัง คิด ถาม จด แต่ในทางปฏิบัติครูไทยมักนำมาใช้ 2 วิธี ไม่ครบกระบวนการ คือใช้เพียงฟังกับจด ขาดการคิดและถาม ผลก็คือคนไทยถามและคิดไม่ค่อยเป็น และจะถามเมื่อมีอารมณ์
เมื่อคิดและถามไม่เป็น สิ่งใหม่ๆจึงไม่ค่อยจะเกิด มีแต่จดและจำต่อๆกันมา หาวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับสังคมไทยได้ยาก คอยแต่จะฟังว่าคนอื่นคิดอย่างไร ชาติอื่นคิดอย่างไร จะได้นำมาใช้แก้ปัญหาสังคมไทย ซึ่งก็นับว่าง่ายดี แต่ไม่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
ด้วยเหตุนี้จึงต้องย้ำอีกครั้งว่า หากมีความจริงใจที่จะปฏิรูปการศึกษา จะต้องเริ่มด้วยการปฏิรูปการคิด ให้ผู้เรียนได้ถาม ได้คิดด้วยตนเอง
บ้านเมืองเราทุกวันนี้มีเรื่องที่ต้องคิดมากกมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนิรโทษกรรม การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท นโยายประชานิยมของพรรคการเมือง ตลอดจนเรื่องที่นักการเมืองซื้อเสียงโดยอ้างว่าจเข้ามาเพื่อรับใช้ประชาชน ว่าเรื่องที่พูดที่ทำนั้นเกิดประโยชน์ต่อบ้านเมืองจริงหรือ หรือเป็นเพียงการสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา
หากคนไทยตอบคำถามเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง อย่างชัดเจน มีเหตุผล มีข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอมา สนับสนุน เชื่อได้ว่าประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งของเรา คงจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
---------------------------------------
สาระคิด
เรามักจะเป็นผู้โปรยฝุ่นด้วยตนเองทั้งสิ้น ก่อนที่เราจะบ่นว่ามองไม่เห็น
George Berkeley
-----------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น