ดร.เดวิด เมอริลล์(David Merrill) นักจิตวิทยาอุตสาหกรรม เห็นว่า การแบ่งมนุษย์ออกเป็น 4 แบบ อันได้แก่ พวกช่างคิด พวกแสดงออกตามความรู้สึก พวกสนใจแต่ความรู้สึกของตน และ พวกรู้สึกเร็ว ตามทัศนะของคาร์ล จุง นั้น เป็นการแบ่งตามสภาวะภายใน(inner states)ของมนุษย์มากว่าที่จะดูจากพฤติกรรมภายนอก จึงยากที่จะจำแนกมนุษย์ออกเป็นพวกๆได้
ดร.เมอริลล์ จึงได้สร้างตัวแบบขึ้นมา ให้เป็นตัวแบบที่เน้นความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยดูจากพฤติกรรมภายนอก(outer behavior) มากกว่าที่จะดูจากสภาวะภายใน และจากการดูพฤติกรรมภายนอก เขาได้แบ่งคนออกเป็น 4 ทีท่า คือ นักวิเคราะห์ นักแข่งขัน นักแสดงออก และนักสังคม
เหตุที่ดูความแตกต่างระหว่างบุคคลจากพฤติกรรมไม่ใช่ดูจากบุคลิกภาพ เพราะพฤติกรรมเป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเพื่อแสดงให้เห็นถึงชีวิตของตน เป็นตัวแบบที่เกี่ยวข้องกับภาษากาย ส่วนบุคลิกภาพเป็นผลรวมของลักษณะทางสมอง อารมณ์ และพฤติกรรม เป็นการมองทั้งภายนอกและภายใน ซึงเป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจถึงสภาวะภายในของบุคคลได้
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมที่บ่งบอกถึงทีท่าของบุคคลได้ จะต้องเป็นพฤคิกรรมที่บุคคลทำซ้ำๆทุกๆวัน ทำโดยไม่ต้องคิด จนเกือบเป็นสัญชาตญาณ ไม่ใช่เป็นพฤติกรรมที่ทำในบางครั้งบางโอกาส
ดร.เมอริลล์ เห็นว่า พฤติกรรมของมนุษย์มีอยู่ 2 กลุ่ม คือพฤคิกรรมยืนกราน และพฤติกรรมตอบสนอง ซึ่งพฤติกรรมทั้ง 2 กลุ่ม เป็นมิติของพฤติกรรมที่ช่วยในการทำนายทีท่าของบุคคล
พฤติกรรมยืนกราน หมายถึง พฤติกรรมที่มีระดับของพฤติกรรมที่บุคคลอื่นเห็นว่า เป็นการบังคับ หรือชี้นำ ระดับของพฤติกรรมยืนกราน เป็นการรับรู้ของบุคคลอื่น โดยไม่จำเป็นว่าพฤติกรรมนั้นจะต้องสะท้อนให้เห็นถึงแรงขับหรือสภาวะภายในที่แท้จริงของบุคคล พฤติกรรมยืนกรานแบ่งได้เป็นพฤติกรรมยืนกรานสูงและพฤติกรรมยืนกรานต่ำ
ลักษณะของบุคคลที่มีพฤติกรรมยืนกรานสูงได้แก่
+ใช้พลังมากกว่า
+เคลื่อนไหวเร็วกว่า
+แสดงกิริยากระฉับกระเฉงกว่า
+ใช้ตาสัมผัสหนักแน่นกว่า
+ตัวตรงหรือโน้มไปข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชี้
+พูดเร็วกว่า่
+พูดเสียงดังกว่า
+พูดมากกว่า
+บอกปัญหาได้เร็วกว่า
+ตัดสินใจได้เร็วกว่า
+ชอบเสี่ยงมากกว่า
+เผชิญหน้ามากกว่า
+ชี้นำและย้ำมากกว่าเมื่อแสดงความคิดเห็น ขอร้อง และกำหนดทิศทาง
+มีความกดดันเพื่อให้ตัดสินใจหรือกระทำมากกว่า
+แสดงอาการโกรธเร็วกว่า
ผู้มีพฤติกรรมยืนกรานสูง จะมีลักษณะดังกล่าวนี้ แต่ไม่จำเป็นต้องมีทั้งหมด
ลักษณะของบุคคลที่มีพฤติกรรมยืนกรานต่ำ ได้แก่
+ใช้พลังน้อยกว่า
+เคลื่อนไหวช้ากว่า
+แสดงกิริยากระฉับกระเฉงน้อยกว่า
+ใช้สายตาสัมผัสหนักแน่นน้อยกว่า
+ลำตัวเอนไปข้างหลังแม้ขณะที่ชี้
+พูดช้ากว่า
+พูดนุ่มกว่า
+พูดน้อยกว่า
+ตัดสินใจช้ากว่า
+ชอบเสี่ยงน้อยกว่า
+ชี้นำและย้ำน้อยกว่าเมื่อแสดงความคิดเห็น ขอร้อง และกำหนดทิศทาง
+มีความกดดันให้ตัดสินใจหรือกระทำน้อยกว่า
+แสดงความโกรธช้ากว่า
ผู้มีพฤติกรรมยืนกรานต่ำ จะมีลักษณะเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่จำเป็นจะต้องมีทั้งหมด
พฤติกรรมตอบสนอง หมายถึง พฤติกรรมที่มีระดับของพฤติกรรมที่บุคคลอื่นเห็นจากการแสดงอารมณ์ หรือ การแสดงถึงความตระหนักที่มีต่อความรู้สึกของคนอื่น เป็นระดับการตอบสนองที่คนอื่นเห็น พฤติกรรมตอบสนองแบ่งออกได้ เป็นพฤติกรรมตอบสนองสูง และพฤติกรรมตอบสนองต่ำ
ลักษณะของบุคคลที่มีพฤติกรรมตอบสนองสูง ได้แก่
+แสดงความรู้สึกเปิดเผยกว่า
+แสดงความเป็นมิตรมากกว่า
+แสดงทางสีหน้ามากกว่า
+แสดงกิริยาเสรีมากกว่า
+มีเสียงกังวาลมากกว่า
+พอใจอยู่กับการพูด
+ใช้เกร็ดแทนเรื่องราวมากกว่า
+แสดงความเอาใจใส่ประเด็นที่เกี่ยวกับมนุษย์มากกว่า
+ชอบทำงานกับคนอื่น
+เอาใจใส่กับการแต่งกายมากกว่า
+ใช้เวลาอย่างมีโครงสร้างน้อยกว่า
ผู้ที่มีพฤติกรรมตอบสนองสูง จะมีลักษณะดังกล่าวนี้ แต่ไม่จำเป็นจะต้องมีลักษณะเหล่านี้ทั้งหมด
ลักษณะของบุคคลที่มีพฤติกรรมตอบสนองต่ำ ได้แก่
+แสดงความรู้สึกเปิดเผยน้อยกว่า
+ไว้ตัวมากกว่า
+แสดงสีหน้าน้อยกว่า
+แสดงกิริยาท่าทางน้อยกว่า
+มีเสียงกังวาลน้อยกว่า
+สนใจที่จะพูดน้อยกว่า
+ใช้ข้อเท็จจริงและตรรกะมากกว่า
+มุ่งงานมากว่า
+ชอบทำงานคนเดียวมากกว่า
+แต่งกายเรียบร้อยกว่า
+ใช้เวลาอย่างมีโครสร้างมากกว่า
ผู้มีพฤติกรรมตอบสนองต่ำ จะมีลักษณะดังกล่าวนี้ แต่ไม่จำเป็นจะต้องมีพฤติกรรมเหล่านี้ทั้งหมด
โดยนำมาจำแนกทีท่าของมนุษย์ได้ดังนี้ นักวิเคราะห์ จะมีพฤติกรรมยืนกรานและพฤติกรรมตอบสนองต่ำ นักสังคม จะมีพฤติกรรมยืนกรานต่ำแต่มีพฤติกรรมตอบสนองสูง นักแสดงออก จะมีพฤติกรรมยืนกรานสูงแต่มีพฤติกรรมตอบสนองต่ำ ส่วนนักแข่งขัน จะมีพฤติกรรมยืนกรานสูงแต่มีพฤติกรรมตอบสนองต่ำ
ลักษณะพฤติกรรมที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นพฤติกรรมที่ ดร.เดวิด เมอริลล์ ใช้จำแนกทีท่าของมนุษย์ ออกเป็น นักวิเคราห์ นักแข่งขัน นักแสดงออก และนักสังคม โดยเป็นพฤติกรรมที่ไม่ได้เกิดจาการถูกบังคับ หรือแสดงออกในบางครั้งบางโอกาส แต่เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกอย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สาระคิด
Success is the ability to go from failure to failure without losing your enthusiasm.
Winston Churchill
*********************************************************************************
หมายเหตุ เพื่อความเข้าใจ ควรอ่าน "ทีท่าของมนุษย์" จาก http://PaisarnKr.blogspot.com ประกอบด้วย
วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
ทีท่าของมนุษย์
การเข้าใจทีท่า(style)ของมนุษย์ จะช่วยให้เข้าใจตนเองและผู้อื่น ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำงานและมีความสุขในชีวิต ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับความเข้าใจตนเองและผู้อื่น นั่นคือการเข้าใจทีท่าของมนุษย์ จะช่วยให้เกิดความสำเร็จในการทำงานและมีความสุขในชีวิต
ทีท่า คืออะไร ทีท่าของบุคคลใด ก็คือ พฤติกรรมของบุคคลที่บุคคลอื่นมองเห็น ซึ่ง เดวิด เมอริลล์ (David Merrill) เห็นว่า การจะบอกว่าทีท่าของบุคคคลนั้นเป็นอย่างไร จะต้องใช้แบบแผนของพฤติกรรมยืนกราน(assertive behavior)และพฤติกรรมตอบสนอง(responsive behavior) ที่สังเกตเห็นได้ประกอบกันเป็นตัวทำนาย
พฤติกรรมยืนกราน แบ่งออกเป็น พฤติกรรมยืนกรานสูงและพฤติกรรมยืนกรานต่ำ ซึ่งทั้ง 2 พฤติกรรมมีลักษณะแตกต่างกัน
ดัชนีชี้วัดบอกระดับของพฤติกรรมยืนกราน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รายการ ยืนกรานต่ำ ยืนกรานสูง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. ปริมาณการพูด น้อย มาก
2. อัตราการพูด ช้ากว่า เร็วกว่า
3. น้ำเสียง เบากว่า ดังกว่า
4. การเคลื่อนไหว น้อย/ช้ากว่า มาก/เร็วกว่า
5. การแสดงพลัง น้อย มาก
6. ท่าทาง เอนไปข้างหลัง ชะโงกไปข้างหน้า
7. การแสดงปฏิกิริยาที่เต็มไปด้วยการบังคับ น้อย มาก
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนพฤติกรรมตอบสนองแบ่งออกเป็น พฤติกรรมตอบสนองสูงและพฤติกรรมตอบสนองต่ำ เช่นเดียวกัน และทั้ง 2 พฤติกรรมมีลักษณะแตกต่างกัน
ดัชนีชี้วัดระดับของพฤติกรรมตอบสนอง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รายการ ตอบสนองต่ำ ตอบสนองสูง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. การแสดงออกทางสีหน้า น้อย มาก
2. การเปลี่ยนของน้ำเสียง น้อย มาก
3. การเลื่อนไหลของการเปลี่ยนกริยาท่าทาง น้อย มาก
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เดวิด เมอริลล์ได้ใช้พฤติกรรมยืนกรานและพฤติกรรมตอบสนอง จำแนกท่าทีของมนุษย์ ตามที่บุคคลอื่นรับรู้ออกเป็น นักวิเคราะห์ นักแข่งขัน นักแสดงออก และนักสังคม
1.นักวิเคราะห์
นักวิเคราะห์เป็นกลุ่มที่มีทีท่าสมบูรณ์ที่สุด เป็นพวกที่มีพฤติกรรมตอบสนองต่ำกว่าเฉลี่ย และมีพฤติกรรมยืนกรานน้อยกว่าค่าเฉลี่ยเช่นกัน
นักวิเคราะห์จะกำหนดค่ามาตรฐานไว้สูง การทำงานจึงต้องใช้เวลาเพื่อให้บรรลุมาตรฐานที่กำหนดไว้
พวกนี้มีแนวโน้มที่จะมีการวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด เพราะมีแนวโน้มที่จะมีลักษณะสมบูรณ์แบบนิยม จึงเป็นคนจริงจังทั้งกับตนเองและผู้อื่น
นักวิเคราะห์จะทำงานที่เป็นระบบ การจัดการดี กระหายข้อมูลยิ่งมากยิ่งดี เพราะเชื่อว่าความรู้คืออำนาจ เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่เสี่ยงจะรอบคอบ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าเสียใจภายหลัง
นักวิเคราะห์ชอบอยู่ตามลำพังหรืออยู่กับคนไม่มาก ชอบอยู่ประจำสำนักงาน ถ้าเป็นผู้บริหารชอบเดินดูรอบๆเพื่อหาข้อเท็จจริง
นักวิเคราะห์มีทีท่าที่เงียบที่สุด พุดน้อยกว่าทีท่าอื่นๆ เว้นแต่จะพูดถึงรายละเอียด ชอบเขียนมากกว่าใช้วิธีการสื่อสารอย่างอื่น ไม่ชอบแสดงความรู้สึกในเรื่องต่างๆ เลี่ยงการใช้อารมณ์ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง
2.นักแข่งขัน
นักแข่งขันเป็นพวกนี้มีระดับการยืนกรานสูงกว่าค่าเฉลี่ย และมีพฤติกรรมตอบสนองต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
เป็นพวกมุ่งผลที่จะได้ มุ่งเป้าหมาย เป็นพวกอิสระ ชอบกำหนดเป้าหมายด้วยตนเองมากกว่าที่จะให้คนอื่นกำหนดให้
นักแข่งขันชอบการทำงานให้สำเร็จ เมื่อเจอปัญหาจะต้องทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับปัญหานั้น แม้จะได้ผลไม่ดีที่สุดก็ตาม แต่นักแข่งขันจะรู้สึกโล่งที่ได้ทำอะไรบางอย่าง ชอบการตัดสินใจ และเชื่อว่าการไม่ตัดสินใจคือการตัดสินใจและเป็นการตัดสินใจที่แย่มากๆ
ในเรื่องความคิดเห็นหรือนโยบาย นักแข่งขันเปลี่ยนใจง่าย พวกนี้มีจุดมุ่งหมาย มีเหตุผล แต่เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนแผนเร็ว พูดเร็ว
เป็นพวกมุ่งงานมากว่ามุ่งคน แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่เอาใจใส่คนอื่น คือเป็นห่วงเหมือนกันแต่ไม่พูดมาก คนทั่วไปมองว่านักแข่งขันเป็นพวกที่มีพฤติกรรมยืนกรานสูงที่สุด
3.นักแสดงออก
นักแสดงออกเป็นพวกที่มีระดับของพฤติกรรมยืนกรานสูงกว่าค่าเฉลี่ย มีพฤติกรรมตอบสนองสูงกว่าทีท่าอื่นๆ
เนื่องจากมีพลังมากพวกนี้จึงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ชอบอยู่ที่จุดใจุดหนึ่งนานๆ หากมีการประชุมนานๆยังแสดงอาการไม่หยุดนิ่ง โดยเปลี่ยนเก้าอี้ไปเรื่อยๆ หรือเคลื่อนมือไม้เล่นไปเรื่อยๆ นักแสดงออกมีทีท่าทีเด่นกว่ากลุ่มอื่นๆ
นักแสดงออกมีเพื่อฝูงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ เมื่อใดที่นักแสดงออกต้องเลือกระหว่างการทำงานตามลำพังกับทำงานร่วมกับคนอื่น จะเลือกที่จะทำงานร่วมกับคนอื่น เพราะชอบสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น
นักแสดงออกเป็นพวกช่างฝัน ชอบสร้างวิมานในอากาศ เป็นพวกที่ทำก่อนคิดทีหลัง ทำให้เกิดปัญหากับตนเองและคนอื่นในที่ทำงานอยู่เสมอ ชอบทำงานตามโอกาสมากกว่าทำตามแผน ความรู้สึกของนักแสดงออกจะมีอิทธิพลเหนือตนเองมากกว่าทีท่าอื่นๆ
นักแสดงออกชอบเล่น ชอบสนุก หาวิธีการทำงานให้สนุกมากขึ้น เมื่อนักแสดงออกพูดจะแสดงออกในทุกส่วนทั้งหน้าตาท่าทางเพื่อการสื่อสาร พูดเสียงดัง เป็นพวกมุ่งคนมากกว่ามุ่งงาน
4. นักสังคม
นักสังคมเป็นพวกที่มีพฤติกรรมยืนกรานน้อยกว่าค่าเฉลี่ย มีพฤติกรรมตอบสนองสูงกว่านักวิเคราะห์
นักสังคมชอบเล่นเป็นทีม โดยปกติชอบทำงานกับคนอื่น แต่ไม่ชอบเด่น รู้จักให้เวลากับคนอื่น ชอบช่วยเหลือคนอื่น ชอบอาสา
นักสังคมมีความเป็นมิตร ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีค่าในการทำงานกับคนอื่น นักสังคมมุ่งคนมากกว่างาน สามารถสร้างความสัมพันธ์ได้ง่ายกว่าคนส่วนใหญ่ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำงานได้ดีในสถานการณ์ที่แน่นอนและมีโครงสร้างที่ชัดเจน
นักสังคมมีแนวโน้มที่จะไม่ตัดสินใจ และระมัดระวังในการตัดสินใจ ทั้งนี้เพื่อหาหลักประกันความเสี่ยง ไม่ชอบตัดสินใจอะไรที่เสี่ยงๆ นักสังคมมีความอดทนต่อคนอื่น ยึดมโนธรรม ไม่กระตือรือร้นที่จะอ่านรายงาน แต่ชอบฟังรายงาน
นักสังคมปฏิเสธที่จะบอกว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร เพราะกลัวว่าจะเกิดความแปลกแยก ไม่ชอบแสดงทัศนะโต้แย้ง ชอบรักษาความสัมพันธ์ ไม่เผชิญกับปัญหา
จากทีท่าของมนุษย์ทั้งสี่ทีท่า ไม่อาจสรุปได้ว่าทีท่าใดดีกว่าหรือเลวกว่าที่ท่าอื่น แต่ละทีท่ามีทั้งเข้มแข็งและอ่อนแอ แต่ละบุคคลจะมีทีท่าที่เด่น ที่มีอิทธิพลเหนือการทำงานของบุคคลนั้น แต่ละทีท่าประสบความสำเร็จได้ และแบบแผนพฤติกรรมของทีท่าหนึ่ง มีแนวโน้มที่จะก่อความเครียดกับอีก3 ทีท่า
หากบุคคลมีความเข้าใจทีท่าของมนุษย์ที่กล่าวมาทั้งหมด จะช่วยให้เข้าใจตนเองและผู้อื่นได้มากขึ้น ถ้าใช้ความสังเกตและการวิเคราะห์อย่างมีระบบและสม่ำเสมอ ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในการทำงานและมีความสุขในชีวิต
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สาระคิด
Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success.
If you love what you are doing, you will be successful.
Albert Schweitzer
*********************************************************************************
ทีท่า คืออะไร ทีท่าของบุคคลใด ก็คือ พฤติกรรมของบุคคลที่บุคคลอื่นมองเห็น ซึ่ง เดวิด เมอริลล์ (David Merrill) เห็นว่า การจะบอกว่าทีท่าของบุคคคลนั้นเป็นอย่างไร จะต้องใช้แบบแผนของพฤติกรรมยืนกราน(assertive behavior)และพฤติกรรมตอบสนอง(responsive behavior) ที่สังเกตเห็นได้ประกอบกันเป็นตัวทำนาย
พฤติกรรมยืนกราน แบ่งออกเป็น พฤติกรรมยืนกรานสูงและพฤติกรรมยืนกรานต่ำ ซึ่งทั้ง 2 พฤติกรรมมีลักษณะแตกต่างกัน
ดัชนีชี้วัดบอกระดับของพฤติกรรมยืนกราน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รายการ ยืนกรานต่ำ ยืนกรานสูง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. ปริมาณการพูด น้อย มาก
2. อัตราการพูด ช้ากว่า เร็วกว่า
3. น้ำเสียง เบากว่า ดังกว่า
4. การเคลื่อนไหว น้อย/ช้ากว่า มาก/เร็วกว่า
5. การแสดงพลัง น้อย มาก
6. ท่าทาง เอนไปข้างหลัง ชะโงกไปข้างหน้า
7. การแสดงปฏิกิริยาที่เต็มไปด้วยการบังคับ น้อย มาก
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนพฤติกรรมตอบสนองแบ่งออกเป็น พฤติกรรมตอบสนองสูงและพฤติกรรมตอบสนองต่ำ เช่นเดียวกัน และทั้ง 2 พฤติกรรมมีลักษณะแตกต่างกัน
ดัชนีชี้วัดระดับของพฤติกรรมตอบสนอง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รายการ ตอบสนองต่ำ ตอบสนองสูง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. การแสดงออกทางสีหน้า น้อย มาก
2. การเปลี่ยนของน้ำเสียง น้อย มาก
3. การเลื่อนไหลของการเปลี่ยนกริยาท่าทาง น้อย มาก
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เดวิด เมอริลล์ได้ใช้พฤติกรรมยืนกรานและพฤติกรรมตอบสนอง จำแนกท่าทีของมนุษย์ ตามที่บุคคลอื่นรับรู้ออกเป็น นักวิเคราะห์ นักแข่งขัน นักแสดงออก และนักสังคม
1.นักวิเคราะห์
นักวิเคราะห์เป็นกลุ่มที่มีทีท่าสมบูรณ์ที่สุด เป็นพวกที่มีพฤติกรรมตอบสนองต่ำกว่าเฉลี่ย และมีพฤติกรรมยืนกรานน้อยกว่าค่าเฉลี่ยเช่นกัน
นักวิเคราะห์จะกำหนดค่ามาตรฐานไว้สูง การทำงานจึงต้องใช้เวลาเพื่อให้บรรลุมาตรฐานที่กำหนดไว้
พวกนี้มีแนวโน้มที่จะมีการวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด เพราะมีแนวโน้มที่จะมีลักษณะสมบูรณ์แบบนิยม จึงเป็นคนจริงจังทั้งกับตนเองและผู้อื่น
นักวิเคราะห์จะทำงานที่เป็นระบบ การจัดการดี กระหายข้อมูลยิ่งมากยิ่งดี เพราะเชื่อว่าความรู้คืออำนาจ เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่เสี่ยงจะรอบคอบ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าเสียใจภายหลัง
นักวิเคราะห์ชอบอยู่ตามลำพังหรืออยู่กับคนไม่มาก ชอบอยู่ประจำสำนักงาน ถ้าเป็นผู้บริหารชอบเดินดูรอบๆเพื่อหาข้อเท็จจริง
นักวิเคราะห์มีทีท่าที่เงียบที่สุด พุดน้อยกว่าทีท่าอื่นๆ เว้นแต่จะพูดถึงรายละเอียด ชอบเขียนมากกว่าใช้วิธีการสื่อสารอย่างอื่น ไม่ชอบแสดงความรู้สึกในเรื่องต่างๆ เลี่ยงการใช้อารมณ์ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง
2.นักแข่งขัน
นักแข่งขันเป็นพวกนี้มีระดับการยืนกรานสูงกว่าค่าเฉลี่ย และมีพฤติกรรมตอบสนองต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
เป็นพวกมุ่งผลที่จะได้ มุ่งเป้าหมาย เป็นพวกอิสระ ชอบกำหนดเป้าหมายด้วยตนเองมากกว่าที่จะให้คนอื่นกำหนดให้
นักแข่งขันชอบการทำงานให้สำเร็จ เมื่อเจอปัญหาจะต้องทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับปัญหานั้น แม้จะได้ผลไม่ดีที่สุดก็ตาม แต่นักแข่งขันจะรู้สึกโล่งที่ได้ทำอะไรบางอย่าง ชอบการตัดสินใจ และเชื่อว่าการไม่ตัดสินใจคือการตัดสินใจและเป็นการตัดสินใจที่แย่มากๆ
ในเรื่องความคิดเห็นหรือนโยบาย นักแข่งขันเปลี่ยนใจง่าย พวกนี้มีจุดมุ่งหมาย มีเหตุผล แต่เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนแผนเร็ว พูดเร็ว
เป็นพวกมุ่งงานมากว่ามุ่งคน แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่เอาใจใส่คนอื่น คือเป็นห่วงเหมือนกันแต่ไม่พูดมาก คนทั่วไปมองว่านักแข่งขันเป็นพวกที่มีพฤติกรรมยืนกรานสูงที่สุด
3.นักแสดงออก
นักแสดงออกเป็นพวกที่มีระดับของพฤติกรรมยืนกรานสูงกว่าค่าเฉลี่ย มีพฤติกรรมตอบสนองสูงกว่าทีท่าอื่นๆ
เนื่องจากมีพลังมากพวกนี้จึงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ชอบอยู่ที่จุดใจุดหนึ่งนานๆ หากมีการประชุมนานๆยังแสดงอาการไม่หยุดนิ่ง โดยเปลี่ยนเก้าอี้ไปเรื่อยๆ หรือเคลื่อนมือไม้เล่นไปเรื่อยๆ นักแสดงออกมีทีท่าทีเด่นกว่ากลุ่มอื่นๆ
นักแสดงออกมีเพื่อฝูงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ เมื่อใดที่นักแสดงออกต้องเลือกระหว่างการทำงานตามลำพังกับทำงานร่วมกับคนอื่น จะเลือกที่จะทำงานร่วมกับคนอื่น เพราะชอบสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น
นักแสดงออกเป็นพวกช่างฝัน ชอบสร้างวิมานในอากาศ เป็นพวกที่ทำก่อนคิดทีหลัง ทำให้เกิดปัญหากับตนเองและคนอื่นในที่ทำงานอยู่เสมอ ชอบทำงานตามโอกาสมากกว่าทำตามแผน ความรู้สึกของนักแสดงออกจะมีอิทธิพลเหนือตนเองมากกว่าทีท่าอื่นๆ
นักแสดงออกชอบเล่น ชอบสนุก หาวิธีการทำงานให้สนุกมากขึ้น เมื่อนักแสดงออกพูดจะแสดงออกในทุกส่วนทั้งหน้าตาท่าทางเพื่อการสื่อสาร พูดเสียงดัง เป็นพวกมุ่งคนมากกว่ามุ่งงาน
4. นักสังคม
นักสังคมเป็นพวกที่มีพฤติกรรมยืนกรานน้อยกว่าค่าเฉลี่ย มีพฤติกรรมตอบสนองสูงกว่านักวิเคราะห์
นักสังคมชอบเล่นเป็นทีม โดยปกติชอบทำงานกับคนอื่น แต่ไม่ชอบเด่น รู้จักให้เวลากับคนอื่น ชอบช่วยเหลือคนอื่น ชอบอาสา
นักสังคมมีความเป็นมิตร ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีค่าในการทำงานกับคนอื่น นักสังคมมุ่งคนมากกว่างาน สามารถสร้างความสัมพันธ์ได้ง่ายกว่าคนส่วนใหญ่ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำงานได้ดีในสถานการณ์ที่แน่นอนและมีโครงสร้างที่ชัดเจน
นักสังคมมีแนวโน้มที่จะไม่ตัดสินใจ และระมัดระวังในการตัดสินใจ ทั้งนี้เพื่อหาหลักประกันความเสี่ยง ไม่ชอบตัดสินใจอะไรที่เสี่ยงๆ นักสังคมมีความอดทนต่อคนอื่น ยึดมโนธรรม ไม่กระตือรือร้นที่จะอ่านรายงาน แต่ชอบฟังรายงาน
นักสังคมปฏิเสธที่จะบอกว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร เพราะกลัวว่าจะเกิดความแปลกแยก ไม่ชอบแสดงทัศนะโต้แย้ง ชอบรักษาความสัมพันธ์ ไม่เผชิญกับปัญหา
จากทีท่าของมนุษย์ทั้งสี่ทีท่า ไม่อาจสรุปได้ว่าทีท่าใดดีกว่าหรือเลวกว่าที่ท่าอื่น แต่ละทีท่ามีทั้งเข้มแข็งและอ่อนแอ แต่ละบุคคลจะมีทีท่าที่เด่น ที่มีอิทธิพลเหนือการทำงานของบุคคลนั้น แต่ละทีท่าประสบความสำเร็จได้ และแบบแผนพฤติกรรมของทีท่าหนึ่ง มีแนวโน้มที่จะก่อความเครียดกับอีก3 ทีท่า
หากบุคคลมีความเข้าใจทีท่าของมนุษย์ที่กล่าวมาทั้งหมด จะช่วยให้เข้าใจตนเองและผู้อื่นได้มากขึ้น ถ้าใช้ความสังเกตและการวิเคราะห์อย่างมีระบบและสม่ำเสมอ ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในการทำงานและมีความสุขในชีวิต
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สาระคิด
Success is not the key to happiness. Happiness is the key to success.
If you love what you are doing, you will be successful.
Albert Schweitzer
*********************************************************************************
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
ธรรมชาติและองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์
มีคำกล่าวว่า การจะเข้าใจตนเองและบุคคลอื่น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจธรรมชาติและปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์
ถึงกระนั้นก็ตาม หากพิจารณาถึงธรรมชาติของมนุษย์ นักจิตวิทยาเองก็มีความเชื่อแตกต่างกันแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มคือ
1. กลุ่มปัญญานิยม กลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์เป็นผลผลิตของการปรับตัวในสภาพแวดล้อม นักจิตวิทยากลุ่มนี้ได้แก่ เลวิน พีอาเจท์ และ โคลเบอร์ก
2. กลุ่มพฤติกรรมนิยม กลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์เป็นผลผลิตของการเรียนรู้ นักจิตวิทยากลุ่มนี้ได้แก่ ฮัลและ สกินเนอร์
3. กลุ่มมนุษยนิยม กลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์ดีได้ด้วยตนเอง พฤติกรรมของมนุษย์นั้นเป็นผลิตผลของความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ นักจิตวิทยากลุ่มนี้ได้แก่ โรเจอร์ส และมาสโลว์
4. กลุ่มจิตวิเคราะห์ กลุ่มนี้เชื่อเรื่องจิตและการวิเคราะห์จิตซึ่งเป็นพฤติกรรมภายใน นักจิตวิทยากลุ่มนี้ได้แก่ ฟรอยด์ และ ฟรอมม์
นักจิตวิทยาเหล่านี้มีความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์แตกต่างกันก็จริง แต่ก็ไม่ได้ขัดแย้งกัน เป็นการมองต่างมุม เมื่อผสมผสานความเชื่อของแต่ละกลุ่มเข้าด้วยกัน กลับทำให้มองเห็นธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในการที่จะเข้าใจตนเองและผู้อื่น นอกจากจะต้องเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ยังจะต้องเข้าใจองค์ประกอบของตวามเป็นมนุษย์ ซึ่งนักจิตวิทยาเชื่อว่า ความเป็นมนุษย์ประกอบด้วยปัจจัย 3 ประการ กล่าวคือ
1. สิ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยผ่าน ยีนส์ ซึ่งได้แก่ ลักษณะของสีที่ปรากฎในส่วนต่างๆของร่างกาย ลักษณะของใบหน้า ลักษณะประจำเพศ สัดส่วนของร่างกาย การทำงานของร่างกาย เพศ หมู่เลือด โรคบางชนิด สติปัญญา และความถนัด
2. สิ่งแวดล้อม หมายถึง เงื่อนไขหรือสภาพต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
2.1 สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม เป็นสิ่งแวดล้อมที่มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตมนุษย์มาก เพราะวัฒนธรรมเป็นวิถีชีวิตของมนุษยในสังคมหนึ่งๆ ซึ่งคนที่อยู่ในวัฒนธรรมเดียวกันจะมีวิถีชีวิตอย่างเดียวกัน มนุษย์ถูกกล่อมเกลาให้การศึกษาอบรมตั้งแต่เด็กว่าให้ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับวัฒนธรรม ประสบการณ์ต่างๆของมนุษย์จึงขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม การแสดงพฤติกรรมต่างๆจะเป็นไปตามแนวทางที่ได้รับการกล่อมเกลาทางวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมได้แก่ ขนบธรรมเนียม ภาษา สื่อต่างๆทางสังคม เป็นต้น
2.2 สิ่งแวดล้อมระหว่างบุคคล เป็นสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คือคนๆหนึ่งจะมีคนอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง บุคคลที่มาเกี่ยวข้องจัดเป็นสิ่งแวดล้อมของบุคคลนั้น เช่น พ่อแม่เป็นสิ่งแวดล้อมของลูก เป็นต้น
3. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม จากการศึกษาพบว่า มนุษย์เป็นผลของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมกับสิ่งแวดล้อม ในลักษณะที่พันธุกรรมเป็นตัววางขอบข่ายของการพัฒนา ส่วนสิ่งแวดล้อมจะตัดสินว่าจะพัฒนาไปในลักษณะใด ซึ่งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมจะมีอิทธิพลต่อการพัฒนาบุคคลใน 2 ลักษณะ กล่าวคือ
3.1 การควบคุมจากสังคม เป็นการควบคุมพฤติกรรมของบุคคล ให้เป็นไปตามค่านิยมและกฎเกณฑ์ของสังคม โดยใช้วิธีให้รางวัลถ้าทำตามกฎเกณฑ์ และจะถูกลงโทษเมื่อทำผิดไปจากกฏเกณฑ์ของสังคม
3.2 ความปรารถนาจากสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงมีความต้องการที่จะได้รับการยอมรับ และความชื่นชมจากกลุ่ม พฤติกรรมของมนุษย์จึงต้องอยู่ภายใต้ความปรารถนาของสังคม ภายใต้ มโนธรรม ความภูมิใจในตน และความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
ธรรมชาติของมนุษย์และองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์ที่กล่าวมา เป็นสาระสำคัญที่จะช่วยให้บุคคลเข้าใจตนเองและผู้อื่น หากบุคคลไม่เข้าธรรมชาติและองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์ ก็ยากที่จะเข้าใจตนเอง มีผลทำให้การพัฒนาตนไม่ประสบความสำเร็จ ในขณะเดียวกันหากไม่เข้าใจผู้อื่นก็ยากที่จะมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีผลทำให้ทำอยู่ในสังคมไม่ปกติสุขนัก
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สาระคิด
Good luck and good fortune come to those who seek opportunity.
Frank Newman
*********************************************************************************
ถึงกระนั้นก็ตาม หากพิจารณาถึงธรรมชาติของมนุษย์ นักจิตวิทยาเองก็มีความเชื่อแตกต่างกันแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มคือ
1. กลุ่มปัญญานิยม กลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์เป็นผลผลิตของการปรับตัวในสภาพแวดล้อม นักจิตวิทยากลุ่มนี้ได้แก่ เลวิน พีอาเจท์ และ โคลเบอร์ก
2. กลุ่มพฤติกรรมนิยม กลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์เป็นผลผลิตของการเรียนรู้ นักจิตวิทยากลุ่มนี้ได้แก่ ฮัลและ สกินเนอร์
3. กลุ่มมนุษยนิยม กลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์ดีได้ด้วยตนเอง พฤติกรรมของมนุษย์นั้นเป็นผลิตผลของความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ นักจิตวิทยากลุ่มนี้ได้แก่ โรเจอร์ส และมาสโลว์
4. กลุ่มจิตวิเคราะห์ กลุ่มนี้เชื่อเรื่องจิตและการวิเคราะห์จิตซึ่งเป็นพฤติกรรมภายใน นักจิตวิทยากลุ่มนี้ได้แก่ ฟรอยด์ และ ฟรอมม์
นักจิตวิทยาเหล่านี้มีความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์แตกต่างกันก็จริง แต่ก็ไม่ได้ขัดแย้งกัน เป็นการมองต่างมุม เมื่อผสมผสานความเชื่อของแต่ละกลุ่มเข้าด้วยกัน กลับทำให้มองเห็นธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในการที่จะเข้าใจตนเองและผู้อื่น นอกจากจะต้องเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ยังจะต้องเข้าใจองค์ประกอบของตวามเป็นมนุษย์ ซึ่งนักจิตวิทยาเชื่อว่า ความเป็นมนุษย์ประกอบด้วยปัจจัย 3 ประการ กล่าวคือ
1. สิ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยผ่าน ยีนส์ ซึ่งได้แก่ ลักษณะของสีที่ปรากฎในส่วนต่างๆของร่างกาย ลักษณะของใบหน้า ลักษณะประจำเพศ สัดส่วนของร่างกาย การทำงานของร่างกาย เพศ หมู่เลือด โรคบางชนิด สติปัญญา และความถนัด
2. สิ่งแวดล้อม หมายถึง เงื่อนไขหรือสภาพต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
2.1 สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม เป็นสิ่งแวดล้อมที่มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตมนุษย์มาก เพราะวัฒนธรรมเป็นวิถีชีวิตของมนุษยในสังคมหนึ่งๆ ซึ่งคนที่อยู่ในวัฒนธรรมเดียวกันจะมีวิถีชีวิตอย่างเดียวกัน มนุษย์ถูกกล่อมเกลาให้การศึกษาอบรมตั้งแต่เด็กว่าให้ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับวัฒนธรรม ประสบการณ์ต่างๆของมนุษย์จึงขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม การแสดงพฤติกรรมต่างๆจะเป็นไปตามแนวทางที่ได้รับการกล่อมเกลาทางวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมได้แก่ ขนบธรรมเนียม ภาษา สื่อต่างๆทางสังคม เป็นต้น
2.2 สิ่งแวดล้อมระหว่างบุคคล เป็นสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คือคนๆหนึ่งจะมีคนอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง บุคคลที่มาเกี่ยวข้องจัดเป็นสิ่งแวดล้อมของบุคคลนั้น เช่น พ่อแม่เป็นสิ่งแวดล้อมของลูก เป็นต้น
3. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม จากการศึกษาพบว่า มนุษย์เป็นผลของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมกับสิ่งแวดล้อม ในลักษณะที่พันธุกรรมเป็นตัววางขอบข่ายของการพัฒนา ส่วนสิ่งแวดล้อมจะตัดสินว่าจะพัฒนาไปในลักษณะใด ซึ่งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมจะมีอิทธิพลต่อการพัฒนาบุคคลใน 2 ลักษณะ กล่าวคือ
3.1 การควบคุมจากสังคม เป็นการควบคุมพฤติกรรมของบุคคล ให้เป็นไปตามค่านิยมและกฎเกณฑ์ของสังคม โดยใช้วิธีให้รางวัลถ้าทำตามกฎเกณฑ์ และจะถูกลงโทษเมื่อทำผิดไปจากกฏเกณฑ์ของสังคม
3.2 ความปรารถนาจากสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงมีความต้องการที่จะได้รับการยอมรับ และความชื่นชมจากกลุ่ม พฤติกรรมของมนุษย์จึงต้องอยู่ภายใต้ความปรารถนาของสังคม ภายใต้ มโนธรรม ความภูมิใจในตน และความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
ธรรมชาติของมนุษย์และองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์ที่กล่าวมา เป็นสาระสำคัญที่จะช่วยให้บุคคลเข้าใจตนเองและผู้อื่น หากบุคคลไม่เข้าธรรมชาติและองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์ ก็ยากที่จะเข้าใจตนเอง มีผลทำให้การพัฒนาตนไม่ประสบความสำเร็จ ในขณะเดียวกันหากไม่เข้าใจผู้อื่นก็ยากที่จะมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีผลทำให้ทำอยู่ในสังคมไม่ปกติสุขนัก
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สาระคิด
Good luck and good fortune come to those who seek opportunity.
Frank Newman
*********************************************************************************
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
ความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจตนเองและผู้อื่น
การเข้าใจตนเองมีความสำคัญต่อการพัฒนาตน เป็นกุญแจสำคัญต่อการปรับเปลี่ยนตน ตลอดจนการดำเนินชีวิตของตน เพราะยิ่งรู้จักตนเองดีเท่าไร ย่อมจะมีความสามารถในการตัดสินใจและเลือกสิ่งที่เหมาะสมสำหรับตนมากขึ้นเท่านั้น
การพัฒนาตนจะไม่สามารถดำเนินไปได้ ถ้าไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของตน ตราบใดที่บุคคลมีข้อมูลหรือเข้าใจตนเอง ตราบนั้นบุคคลจะสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มที่ คนที่ต้องการจะพัฒนาตนอย่างจริงจัง จะต้องตระหนักว่า ความรู้เกี่ยวกับตนเป็นพื้นฐานของการพัฒนา
การรู้จักตนเองยังเป็นปัจจัยเบื้องต้น สำหรับการมีสุขภาพจิตดี ตลอดจนความสามารถที่จะรักและยอมรับคนอื่น เพราะยิ่งรู้จักตนมากเท่าไรจะยิ่งจะเข้าใจคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งเข้าใจคนอื่นลึกซึ้งมากเท่าไร จะยิ่งเข้าใจตนเองมากขึ้นเท่านั้น การเข้าใจตนเองจึงเป็นการเพิ่มอำนาจการเข้าใจคนอื่น
การเข้าใจตนเองและผู้อื่น มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน เพราะมนุษย์ไม่อาจทำอะไรได้สำเร็จแต่เพียงลำพังโดยปราศจากความร่วมมือจากคนอื่น
นักปราชญ์จีนยกย่องคนที่เข้าใจตนเองและผู้อื่นว่า "คนที่รู้จักคนอื่นเป็นปราชญ์ คนที่รู้จักตนเองเป็นคนฉลาด" และไม่ว่าในการทำกิจกรรมใดๆ แม้แต่การทำสงคราม การเข้าใจตนเองและผู้อื่น จะช่วยให้การทำกิจกรรมนั้นประสบความสำเร็จ ดังคำพูดที่ว่า "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง"
คำพูดของนักปราชญ์จีนที่กล่าวมานั้น แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของการที่จะต้องเข้าใจตนเองและผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
ในทำนองเดียวกัน โสเครติส มีความเห็นในเชิงแนะนำว่า "จงรู้จักตนเอง เพราะชีวิตที่ไม่รู้จักตนเองนั้น เป็นชีวิตที่ปราศจากคุณค่า" คุณค่าของชีวิตจึงอยู่ที่การสำรวจตนเอง เพื่อรู้ว่าชีวิตคืออะไร กำลังทำอะไรอยู่ และดำรงชีวิตอยู่เพื่ออะไร คำถามเหล่านี้ ช่วยให้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า คุ้มค่าต่อการที่เกิดมา
ในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิต นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง เห็นว่า รูปแบบการดำเนินชีวิตของมนุษย์ที่ถูกต้องนั้นมี 4 ขั้นตอนด้วยกัน กล่าวคือ
ขั้นที่ 1. ศึกษาตนเองทุกแง่ทุกมุม เพื่อให้เข้าใจตนเองในทุกๆด้าน
ขั้นที่ 2. ยอมรับตนเอง หลังจากที่ได้รู้จักตนเองอย่างดีแล้ว ทั้งนี้การยอมรับตนเองควรจะยอมรับทั้งในแง่ดีและในแง่ร้าย เพื่อจะได้ปรับปรุงตนเองต่อไป
ขั้นที่ 3. การยอมรับและเข้าใจผู้อื่น จากการที่เรารู้จักตนเอง จะช่วยให้เรายอมรับและเข้าใจผู้อื่นได้ด้วย
ขั้นที่ 4. ใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติของตน เพื่อว่าการดำเนินชีวิตในโลกนี้ จะเป็นไปอย่างมีความสุข
จะเห็นว่า นักปราชญ์ทุกยุคทุกสมัย ต่างก็มองเห็นความสำคัญของการศึกษาตนเอง รู้จักตนเอง เพราะไม่มีอะไรใกล้ชิดตัวเรามากกว่าตัวเราเอง แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เรารู้จักน้อยที่สุดคือตัวเราเอง
ดังนั้น หากบุคคลใดต้องการที่พัฒนาตนเอง และดำเนินชีวิตอย่างผู้ที่ประสบความสำเร็จ อย่างมีคุณค่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาตนเอง เพื่อการเข้าใจตนเองและผู้อื่น อันเป็นแนวทางที่จะนำชีวิตของตนไปสู่ความต้องการดังกล่าวได้สำเร็จ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สาระคิด
ผู้มีปัญญาจะมองหาทุกสิ่งจากด้านในตัวเขาเอง ส่วนคนบ้าจะมองหาทุกสิ่งในตัวผู้อื่น
ขงจื๊อ
*********************************************************************************
การพัฒนาตนจะไม่สามารถดำเนินไปได้ ถ้าไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของตน ตราบใดที่บุคคลมีข้อมูลหรือเข้าใจตนเอง ตราบนั้นบุคคลจะสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มที่ คนที่ต้องการจะพัฒนาตนอย่างจริงจัง จะต้องตระหนักว่า ความรู้เกี่ยวกับตนเป็นพื้นฐานของการพัฒนา
การรู้จักตนเองยังเป็นปัจจัยเบื้องต้น สำหรับการมีสุขภาพจิตดี ตลอดจนความสามารถที่จะรักและยอมรับคนอื่น เพราะยิ่งรู้จักตนมากเท่าไรจะยิ่งจะเข้าใจคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งเข้าใจคนอื่นลึกซึ้งมากเท่าไร จะยิ่งเข้าใจตนเองมากขึ้นเท่านั้น การเข้าใจตนเองจึงเป็นการเพิ่มอำนาจการเข้าใจคนอื่น
การเข้าใจตนเองและผู้อื่น มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน เพราะมนุษย์ไม่อาจทำอะไรได้สำเร็จแต่เพียงลำพังโดยปราศจากความร่วมมือจากคนอื่น
นักปราชญ์จีนยกย่องคนที่เข้าใจตนเองและผู้อื่นว่า "คนที่รู้จักคนอื่นเป็นปราชญ์ คนที่รู้จักตนเองเป็นคนฉลาด" และไม่ว่าในการทำกิจกรรมใดๆ แม้แต่การทำสงคราม การเข้าใจตนเองและผู้อื่น จะช่วยให้การทำกิจกรรมนั้นประสบความสำเร็จ ดังคำพูดที่ว่า "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง"
คำพูดของนักปราชญ์จีนที่กล่าวมานั้น แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของการที่จะต้องเข้าใจตนเองและผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
ในทำนองเดียวกัน โสเครติส มีความเห็นในเชิงแนะนำว่า "จงรู้จักตนเอง เพราะชีวิตที่ไม่รู้จักตนเองนั้น เป็นชีวิตที่ปราศจากคุณค่า" คุณค่าของชีวิตจึงอยู่ที่การสำรวจตนเอง เพื่อรู้ว่าชีวิตคืออะไร กำลังทำอะไรอยู่ และดำรงชีวิตอยู่เพื่ออะไร คำถามเหล่านี้ ช่วยให้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า คุ้มค่าต่อการที่เกิดมา
ในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิต นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง เห็นว่า รูปแบบการดำเนินชีวิตของมนุษย์ที่ถูกต้องนั้นมี 4 ขั้นตอนด้วยกัน กล่าวคือ
ขั้นที่ 1. ศึกษาตนเองทุกแง่ทุกมุม เพื่อให้เข้าใจตนเองในทุกๆด้าน
ขั้นที่ 2. ยอมรับตนเอง หลังจากที่ได้รู้จักตนเองอย่างดีแล้ว ทั้งนี้การยอมรับตนเองควรจะยอมรับทั้งในแง่ดีและในแง่ร้าย เพื่อจะได้ปรับปรุงตนเองต่อไป
ขั้นที่ 3. การยอมรับและเข้าใจผู้อื่น จากการที่เรารู้จักตนเอง จะช่วยให้เรายอมรับและเข้าใจผู้อื่นได้ด้วย
ขั้นที่ 4. ใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติของตน เพื่อว่าการดำเนินชีวิตในโลกนี้ จะเป็นไปอย่างมีความสุข
จะเห็นว่า นักปราชญ์ทุกยุคทุกสมัย ต่างก็มองเห็นความสำคัญของการศึกษาตนเอง รู้จักตนเอง เพราะไม่มีอะไรใกล้ชิดตัวเรามากกว่าตัวเราเอง แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เรารู้จักน้อยที่สุดคือตัวเราเอง
ดังนั้น หากบุคคลใดต้องการที่พัฒนาตนเอง และดำเนินชีวิตอย่างผู้ที่ประสบความสำเร็จ อย่างมีคุณค่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาตนเอง เพื่อการเข้าใจตนเองและผู้อื่น อันเป็นแนวทางที่จะนำชีวิตของตนไปสู่ความต้องการดังกล่าวได้สำเร็จ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สาระคิด
ผู้มีปัญญาจะมองหาทุกสิ่งจากด้านในตัวเขาเอง ส่วนคนบ้าจะมองหาทุกสิ่งในตัวผู้อื่น
ขงจื๊อ
*********************************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)