การพัฒนาสังคมและวัฒนธรรม เป็นการพัฒนาระบบความสัมพันธ์ หน้าที่ ปทัสถาน แนวความคิด ความเชื่อ และค่านิยมของสังคม เพื่อให้สมาชิกในสังคมอยู่กันอย่างปกติสุข
สำหรับการจัดการศึกษเพื่อการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมนั้น เป็นการจัดเพื่อให้ระบบการศึกษาได้ทำหน้าที่ดังต่อไปนี้ได้อย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ
การถ่ายทอดสิ่งที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมเป็นมรดกทางสังคม จึงเป็นหน้าที่ของการศึกษาที่จะต้องถ่ายทอดสิ่งที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมให้กับผู้เรียน เพื่อให้สังคมรักษาไว้ เพราะหากไม่มีวัฒนธรรม ความเป็นสังคมและความเป็นชาติจะหมดไปในที่สุด อย่างก็ตาม วัฒนธรรมที่ถ่ายทอดนั้นจะต้องมีการเลือกสรรอย่างดี เพื่อจะได้ถ่ายทอดเฉพาะแบบแผนการดำเนินชีวิตที่เอื้อต่อความอยู่รอดของสังคม เป็นวัฒนธรรมที่ช่วยให้สังคมเกิดความก้าวหน้า และดำรงไว้ซึ่งความมีเอกลักษณ์ของชาติ
การเปลี่ยนแปลง การศึกษาจะต้องทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงแนวความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติ และปทัสแบบดั้งเดิมบางอย่าง ที่อาจเป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนา เป็นต้นว่า การไม่เห็นความสำคัญของเวลา การเชื่อในอำนาจภายนอก การมุ่งประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ การไม่มีวินัย รังเกียจงานใช้มือ การมุ่งในปัจจุบัน ฯลฯ เหล่านี้ การศึกษาจะต้องทำหน้าที่เปลี่ยนแปลง เพราะลักษณะที่กล่าวมาแล้วนั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเท่านั้น ยังก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมขึ้นมาอีกด้วย
การสร้างเสริม ถ้าหากจะให้การพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมดำเนินไปด้วยดี การศึกษาจะต้องทำหน้าที่สร้างเสริมลักษณะที่เอื้อต่อการพัฒนา ให้เกิดขึ้นในตัวสมาชิกของสังคม เป็นต้นว่า การมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความมีศรัทธาในความสามารถของตนเอง ความมีวินัย การรักการทำงาน การมุ่งประโยชน์ส่วนรวม มีค่านิยมในเชิงเสมอภาค การมุ่งอนาคต ฯลฯ เพราะลักษณะดังกล่าวนี้ เป็นลักษณะที่ช่วยให่เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อสังคมจะได้อยู่กันอย่างปกติสุขและมีความมั่นคง
อย่างไรก็ตาม การศึกษาจะทำหน้าที่ดังกล่าวได้สมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อระบบการศึกษามีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านบริหาร การเรียนการสอน การจัดกิจกรรม ตลอดจนการวัดผลการศึกษา เพื่อไม่ให้การศึกษาเป็นตัวแทนของความด้อยพัฒนา ที่สร้างเสริมและอนุรักษ์ความด้อยพัฒนาให้คงอยู่ในสังคม
---------------------------------------------------------------------------
สาระคิด
ระบบการศึกษาที่ด้อยพัฒนา ไม่อาจสร้างลักษณะที่เอื้อพัฒนาขึ้นมาในตัวผู้เรียนได้ การพัฒนาประเทศ จึงต้องเริ่มด้วยการพัฒนาระบบการศึกษา
------------------------------------------
วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
ยุทธวิธีเพื่อการเปลี่ยนแปลง
การพัฒนาประเทศ ในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และ ด้านวัฒนธรรม เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีแผน มีเป้าหมาย และมีทิศทางที่แน่นอน
ซึ่งยุทธวิธีที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้มีดังนี้
ยุทธวิธีการปฏิบัติด้วยเหตุผล ยุทธวิธีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคิดที่ว่า มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลและจะทำตามเหตุผลที่ตนคิดว่าถูกต้อง ฉะนั้นการ เปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเมื่อสมาชิกในสังคมมีความเห็นว่า หากมีการเปลี่ยนแปลง จะก่อให้เกิดความพึงพอใจและดีกว่าเดิม ด้วยความคิดที่มีเหตุผลในลักษณะดังกล่าว จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านพฤติกรรมของมนุษย์ อันนำไปสู่การเปลี่ยนสังคมโดยรวม
ยุทธวิธีตามข้อนี้ มีหลักการคือ การวิจัยและการแสวงหาความรู้ใหม่ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า การเลือกสรรบุคคลให้เหมาะกับงาน ตลอดจนการจัดการทำงานอย่างเป็นระบบ
ยุทธวิธีการสร้างปทัสถานใหม่ ยุทธวิธีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า ทุกสังคมมีปทัสถานที่มีอิทธิพลต่อแบบแผนของพฤติกรรมและการกระทำของมนุษย์ โดยที่ปทัสถานทางสังคมได้รับอิทธิพลจากทัศนคติ ความเชื่อ และค่านิยมของคนในสังคม ฉะนั้นการจะเปลี่ยนแปลงแบบแผนของพฤติกรรมของคนในสังคม จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงปทัสถานจากแบบเดิมไปสู้แบบใหม่ สร้างปทัสถานขึ้นมาใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงค่านิยม ทัศนคติ ความเชื่อ และระบบความสัมพันธ์ที่สำคัญๆด้วย
ยุทธวิธีตามข้อนี้ อาศัยอิทธิพลจากภายนอกในการที่จะสร้างปทัสถานใหม่ โดยอาศัย การปรับปรุงความสามารถในการแก้ปัญหาในระบบสังคม ปรับปรุงกระบวนการและเทคนิควิธีและนำหลักการแก้ปัญหาโดยวิธีวิทยาศาสตร์มาใช้ ตลอดจนส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการเลี่ยนแปลง
ยุทธวิธีการใช้อำนาจบังคับ ยุทธวิธีนีี้ตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า ถ้าหากมีการใช้อำนาจบางอย่าง เช่น อำนาจทางการเมืองการปกครองและอื่นๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ อำนาจดังกล่าว ปกติมักจะอาศัยการบังคับด้วยกฎหมาย ยุทธิวิธีนี้เป็นงานระดับชาติ มีการจัดตั้งองค์กรเพื่อการวางแผน และตรากฎหมายเพื่อบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงตามแผนที่กำหนดไว้
ยุทธวิธีตามข้อนี้ ดำเนินการในลักษณะที่ไม่ใช้มาตรการที่รุนแรง แต่อาจใช้วิธีต่อต้านอย่างสงบหรือการอภิปรายถกเถียง โดยพยายามชี้ให้เห็นปัญหาต่างๆเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ต่อจากนั้น จะใช้สถาบันการปกครองเพื่อให้บรรลุถึงการเปลี่ยนแปลง โดยตราเป็นกฎหมายที่ผ่านการเห็นชอบของรัฐสภา
จะเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การพัฒนาประเทศนั้น ไม่ได้เน้นเรื่องวิชาความรู้และเทคโนโลยี หรือการใช้กฎหมายแต่เพียงประการเดียว แต่จะต้องพยายามปรับปรุงเปลี่ยนแปลงปทัสถาน ค่านิยม ทัศนคติและความเชื่อของคนในสังคมประกอบด้วย ควบคู่กันไป การเปลี่ยนแปลงจึงจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
-----------------------------------------------------------------
สาระคำ
ปทัสถาน (Norm) หมายถึง กฎ หรือ แบบแผน หรือ มาตรฐานของพฤติกรรมของคนในสังคม
------------------------------------
ซึ่งยุทธวิธีที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้มีดังนี้
ยุทธวิธีการปฏิบัติด้วยเหตุผล ยุทธวิธีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคิดที่ว่า มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลและจะทำตามเหตุผลที่ตนคิดว่าถูกต้อง ฉะนั้นการ เปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเมื่อสมาชิกในสังคมมีความเห็นว่า หากมีการเปลี่ยนแปลง จะก่อให้เกิดความพึงพอใจและดีกว่าเดิม ด้วยความคิดที่มีเหตุผลในลักษณะดังกล่าว จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านพฤติกรรมของมนุษย์ อันนำไปสู่การเปลี่ยนสังคมโดยรวม
ยุทธวิธีตามข้อนี้ มีหลักการคือ การวิจัยและการแสวงหาความรู้ใหม่ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า การเลือกสรรบุคคลให้เหมาะกับงาน ตลอดจนการจัดการทำงานอย่างเป็นระบบ
ยุทธวิธีการสร้างปทัสถานใหม่ ยุทธวิธีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า ทุกสังคมมีปทัสถานที่มีอิทธิพลต่อแบบแผนของพฤติกรรมและการกระทำของมนุษย์ โดยที่ปทัสถานทางสังคมได้รับอิทธิพลจากทัศนคติ ความเชื่อ และค่านิยมของคนในสังคม ฉะนั้นการจะเปลี่ยนแปลงแบบแผนของพฤติกรรมของคนในสังคม จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงปทัสถานจากแบบเดิมไปสู้แบบใหม่ สร้างปทัสถานขึ้นมาใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงค่านิยม ทัศนคติ ความเชื่อ และระบบความสัมพันธ์ที่สำคัญๆด้วย
ยุทธวิธีตามข้อนี้ อาศัยอิทธิพลจากภายนอกในการที่จะสร้างปทัสถานใหม่ โดยอาศัย การปรับปรุงความสามารถในการแก้ปัญหาในระบบสังคม ปรับปรุงกระบวนการและเทคนิควิธีและนำหลักการแก้ปัญหาโดยวิธีวิทยาศาสตร์มาใช้ ตลอดจนส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการเลี่ยนแปลง
ยุทธวิธีการใช้อำนาจบังคับ ยุทธวิธีนีี้ตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า ถ้าหากมีการใช้อำนาจบางอย่าง เช่น อำนาจทางการเมืองการปกครองและอื่นๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ อำนาจดังกล่าว ปกติมักจะอาศัยการบังคับด้วยกฎหมาย ยุทธิวิธีนี้เป็นงานระดับชาติ มีการจัดตั้งองค์กรเพื่อการวางแผน และตรากฎหมายเพื่อบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงตามแผนที่กำหนดไว้
ยุทธวิธีตามข้อนี้ ดำเนินการในลักษณะที่ไม่ใช้มาตรการที่รุนแรง แต่อาจใช้วิธีต่อต้านอย่างสงบหรือการอภิปรายถกเถียง โดยพยายามชี้ให้เห็นปัญหาต่างๆเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ต่อจากนั้น จะใช้สถาบันการปกครองเพื่อให้บรรลุถึงการเปลี่ยนแปลง โดยตราเป็นกฎหมายที่ผ่านการเห็นชอบของรัฐสภา
จะเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การพัฒนาประเทศนั้น ไม่ได้เน้นเรื่องวิชาความรู้และเทคโนโลยี หรือการใช้กฎหมายแต่เพียงประการเดียว แต่จะต้องพยายามปรับปรุงเปลี่ยนแปลงปทัสถาน ค่านิยม ทัศนคติและความเชื่อของคนในสังคมประกอบด้วย ควบคู่กันไป การเปลี่ยนแปลงจึงจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
-----------------------------------------------------------------
สาระคำ
ปทัสถาน (Norm) หมายถึง กฎ หรือ แบบแผน หรือ มาตรฐานของพฤติกรรมของคนในสังคม
------------------------------------
วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
การศึกษากับการพัฒนาประเทศ:พัฒนาอะไร
ต่อคำถามที่ว่า การศึกษากับการพัฒนาประเทศ พัฒนาอะไร ตอบง่ายๆก็จะได้ว่า เป็นการใช้การศึกษาในฐานะที่เป็นเครื่องมือพัฒนาคน เพื่อให้คนมีลักษณะเอื้อต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งก็ตอบได้แต่ก็ไม่ค่อยจะชัดเจน
การพัฒนาประเทศนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะต้องพัฒนาทั้งประเทศหรือทั่วประเทศเท่านั้น แต่อาจจะพัฒนาบางส่วนหรือบางด้านของประเทศ ก็ได้ จะพัฒนาในระดับจุลภาคหรือระดับมหภาค ก็ได้ กล่าวคือจะพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน หรือพัฒนาทั้งประเทศ ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาประเทศ ทั้งนั้น
นักวิชาการทางสังคมศาสตร์ จำแนกการพัฒนาประเทศออกเป็น 3 ด้าน คือ
1) การพัฒนาสังคมและวัฒนธรรม เป็นการพัฒนาการอยู่ร่วมกันของสมาชิกในสังคม เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข
2) การพัฒนาการเมือง เป็นการพัฒนาในเรื่องอำนาจและการใช้อำนาจในการจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าให้กัยสมาชิกในสังคม
3) การพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นการพัฒนาเกี่ยวกับผลิตและการจำหน่ายจ่ายแจกสินค้าและบริการ
จะเห็นว่า การพัฒนาประเทศ คือการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรม การพัฒนาการเมือง และการพัฒนาเศรษฐกิจ ทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค
ส่วนการศึกษาเกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศอย่างไรนั้น สามารถจำแนกได้เป็น 2 แนวทาง คือ
การพัฒนาการศึกษา เป็นการพัฒนาระบบการศึกษา เป็นเรื่องของการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบการศึกษาที่ใช้อยู่ ให้ลดความสูญเปล่าลง ในขณะเดียวกัน ก็ปรับปรุงการดำเนินงานของระบบการศึกษา ให้สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมได้มากขึ้น เป็นระบบที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น เพราะเมื่อผู้เรียนได้ศึกษาเล่าเรียนจากระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมเชื่อได้ว่า จะเป็นคนที่มีคุณภาพ สามารถที่จะพัฒนาสังคมและประเทศชาติต่อไปได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่มีลักษณะที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา
การใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศ เป็นการจัดการศึกษาเพื่อให้เกิดผลต่อการพัฒนาประเทศโดยตรง เช่น ผลิตคนที่มีคุณธรรมจริยธรรม มีความรู้และทักษะในการที่จะทำมาหาเลี้ยงชีพ ตลอดจน เป็นสมาชิกที่ดีของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นต้น ในฐานะที่เป็นสถาบัน การศึกษา ก็สามารถพัฒนาประเทศได้โดยตรง ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยต่างๆ จะมีพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัยที่กำนดไว้ชัดเจนว่า มหาวิทยาลัย นอกจากจะมีหน้าที่สอนและวิจัยแล้ว ยังจะต้องมีหน้าที่บริการทางวิชาการแก่ชุมชน และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม อีกด้วย
ที่กล่าวมา พอจะตอบคำถาม ได้ชัดเจนว่า การศึกษาพัฒนาประเทศ ด้วยการพัฒนาระบบการศึกษาเองให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้ทำหน้าที่พัฒนาคนให้มีคุณภาพ มีลักษณะที่เอื้อต่อ การพัฒนาสังคมและวัฒนธรรม การพัฒนาการเมือง และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
------------------------------------------------------------
สาระคิด
อำนาจนั้นมีจำกัด ถ้าใช้โดยขาดคุณธรรมและความถูกต้อง จะหมดเร็ว
-------------------------------------------
การพัฒนาประเทศนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะต้องพัฒนาทั้งประเทศหรือทั่วประเทศเท่านั้น แต่อาจจะพัฒนาบางส่วนหรือบางด้านของประเทศ ก็ได้ จะพัฒนาในระดับจุลภาคหรือระดับมหภาค ก็ได้ กล่าวคือจะพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน หรือพัฒนาทั้งประเทศ ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาประเทศ ทั้งนั้น
นักวิชาการทางสังคมศาสตร์ จำแนกการพัฒนาประเทศออกเป็น 3 ด้าน คือ
1) การพัฒนาสังคมและวัฒนธรรม เป็นการพัฒนาการอยู่ร่วมกันของสมาชิกในสังคม เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข
2) การพัฒนาการเมือง เป็นการพัฒนาในเรื่องอำนาจและการใช้อำนาจในการจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าให้กัยสมาชิกในสังคม
3) การพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นการพัฒนาเกี่ยวกับผลิตและการจำหน่ายจ่ายแจกสินค้าและบริการ
จะเห็นว่า การพัฒนาประเทศ คือการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรม การพัฒนาการเมือง และการพัฒนาเศรษฐกิจ ทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค
ส่วนการศึกษาเกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศอย่างไรนั้น สามารถจำแนกได้เป็น 2 แนวทาง คือ
การพัฒนาการศึกษา เป็นการพัฒนาระบบการศึกษา เป็นเรื่องของการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบการศึกษาที่ใช้อยู่ ให้ลดความสูญเปล่าลง ในขณะเดียวกัน ก็ปรับปรุงการดำเนินงานของระบบการศึกษา ให้สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมได้มากขึ้น เป็นระบบที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น เพราะเมื่อผู้เรียนได้ศึกษาเล่าเรียนจากระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมเชื่อได้ว่า จะเป็นคนที่มีคุณภาพ สามารถที่จะพัฒนาสังคมและประเทศชาติต่อไปได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่มีลักษณะที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา
การใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศ เป็นการจัดการศึกษาเพื่อให้เกิดผลต่อการพัฒนาประเทศโดยตรง เช่น ผลิตคนที่มีคุณธรรมจริยธรรม มีความรู้และทักษะในการที่จะทำมาหาเลี้ยงชีพ ตลอดจน เป็นสมาชิกที่ดีของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นต้น ในฐานะที่เป็นสถาบัน การศึกษา ก็สามารถพัฒนาประเทศได้โดยตรง ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยต่างๆ จะมีพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัยที่กำนดไว้ชัดเจนว่า มหาวิทยาลัย นอกจากจะมีหน้าที่สอนและวิจัยแล้ว ยังจะต้องมีหน้าที่บริการทางวิชาการแก่ชุมชน และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม อีกด้วย
ที่กล่าวมา พอจะตอบคำถาม ได้ชัดเจนว่า การศึกษาพัฒนาประเทศ ด้วยการพัฒนาระบบการศึกษาเองให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้ทำหน้าที่พัฒนาคนให้มีคุณภาพ มีลักษณะที่เอื้อต่อ การพัฒนาสังคมและวัฒนธรรม การพัฒนาการเมือง และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
------------------------------------------------------------
สาระคิด
อำนาจนั้นมีจำกัด ถ้าใช้โดยขาดคุณธรรมและความถูกต้อง จะหมดเร็ว
-------------------------------------------
วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วิธีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
การพัฒนาหรือสร้างทุนมนุษย์ในประเทศใดประเทศหนึ่ง ก่อนจะเริ่มการพัฒนาจำเป็นจะต้องมีการประเมินอย่างเป็นระบบ เพื่อทราบปัญหาและความต้องการกำลังคนที่แท้จริง โดยจะต้องชัดเจนว่า ต้องการกำลังคนระดับใดจำนวนเท่าไร ตลอดจนจะพัฒนาด้วยวิธีการใด เมื่อชัดเจนแล้วจึงจะดำเนินการพัฒนา
สำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้นสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
1.การให้การศึกษา เป็นการเพิ่มความรู้ความสามารถและทักษะให้กับมนุษย์โดยตรง ซึ่งอาจจำแนกออกได้เป็น
1.1 การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาในระบบโรงเรียนหรือสถานศึกษา เป็นวิธีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่จัดกันอย่างแพร่หลาย เป็นวิธีการที่รัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาจจำแนกเป็น
1.1.1. การศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เป็นการศึกษาเพื่อการดำรงชีวิต เน้นความรู้ทั่วๆไป ตลอดจนเป็นพื้นฐานในการเรียนในระดับสูงและการประกอบอาชีพ
1.1.2. การศึกษาระดับอุดมศึกษา เป็นการศึกษาเพื่อการประกอบอาชีพโดยตรง เป็นการศึกษาเกี่ยวกับอาชีพใดอาชีพหนึ่งโดยเฉพาะ
1.2. การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษานอกระบบโรงเรียน เป็นการศึกษาที่จัดให้ผู้อยู่นอกวัยเรียนเป็นส่วนใหญ่ เป็นผู้กำลังทำงาน เป็นการเรียนเพื่อการประกอบอาชีพ แต่ก็มีเหมือนกันที่เรียนเพื่อเรียนต่อในระดับสูงขึ้น แบ่งออกได้เป็น
1.2.1. การฝึกอบรมในระหว่างประจำการ เป็นการฝึกอบรมผู้ที่กำลังทำงานอาชีพอยู่ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มทักษะและความสามารถในการทำงานให้สูงขึ้น อาจเป็นความรู้ความชำนาญเฉพาะอย่างหรือความรู้สามารถทั่วไปก็ได้ ทั้งนี้เพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน
1.2.2. การพัฒนาตนเอง เป็นวิธีการที่แต่ละคนแสวงหาความรู้ ทักษะ และสมรรถนะเพิ่มขึ้น โดยการเตรียมการและริเริ่มของตนเอง ตามความสนใจและความจำเป็นในการประกอบอาชีพ เช่นจากการอ่าน เรียนจากตำรา วิทยุโทรทัศน์หรือสื่อมวลชนอื่นๆ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความรู้และทักษะที่จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. การจัดให้มีบริการสาธารณสุขและการแพทย์ที่ดี เป็นวิธีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ช่วยให้ผู้ใช้แรงงานมีสุขภาพดีขึ้น อันจะทำให้สมรรถภาพในการทำงานดีขึ้นด้วย ทำการผลิตได้นานและผลิตได้มากขึ้น
3. การให้สวัสดิการและการให้กำลังใจในขณะปฏิบัติงาน เพื่อจะได้เป็นผู้มีสุขภาพจิตที่ดีและมีแรงจูงใจที่จะทำงาน
4. การปรับปรุงภาวะโภชนการ เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานรู้จักรับประทานอาหารที่มีคุณค่า อันส่งผลให้มีสุขภาพแข็งแรง มีประสิทธิภาพในการผลิตสูงขึ้นในที่สุด
5. การอพยพย้ายถิ่น เป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อีกวิธีหนึ่ง ที่ทำให้กำลังแรงงานมีประสบการณ์ใหม่ๆ และเป็นการจัดสรรทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกับการผลิดในระบบเศรษฐกิจ
จากวิธีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ดังกล่าว จะเห็นว่าวิธีการให้การศึกษาเป็นวิธีที่สำคัญที่สุด จัดกันมากที่สุด เพียงแต่จะต้องเป็นการจัดการศึกษา ที่สามารถตอบสนองความต้องการกำลังคนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นแค่การจัดการศึกษาเพื่อการศึกษา
---------------------------------------------------------
สาระคำ
กำลังแรงงาน (Labour force) หมายถึง ผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน ทั้งผู้ที่มีงานทำและไม่มีงานทำ แต่ประสงค์จะทำงานและสามารถทำงานได้
---------------------------------
สำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้นสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
1.การให้การศึกษา เป็นการเพิ่มความรู้ความสามารถและทักษะให้กับมนุษย์โดยตรง ซึ่งอาจจำแนกออกได้เป็น
1.1 การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาในระบบโรงเรียนหรือสถานศึกษา เป็นวิธีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่จัดกันอย่างแพร่หลาย เป็นวิธีการที่รัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาจจำแนกเป็น
1.1.1. การศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เป็นการศึกษาเพื่อการดำรงชีวิต เน้นความรู้ทั่วๆไป ตลอดจนเป็นพื้นฐานในการเรียนในระดับสูงและการประกอบอาชีพ
1.1.2. การศึกษาระดับอุดมศึกษา เป็นการศึกษาเพื่อการประกอบอาชีพโดยตรง เป็นการศึกษาเกี่ยวกับอาชีพใดอาชีพหนึ่งโดยเฉพาะ
1.2. การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษานอกระบบโรงเรียน เป็นการศึกษาที่จัดให้ผู้อยู่นอกวัยเรียนเป็นส่วนใหญ่ เป็นผู้กำลังทำงาน เป็นการเรียนเพื่อการประกอบอาชีพ แต่ก็มีเหมือนกันที่เรียนเพื่อเรียนต่อในระดับสูงขึ้น แบ่งออกได้เป็น
1.2.1. การฝึกอบรมในระหว่างประจำการ เป็นการฝึกอบรมผู้ที่กำลังทำงานอาชีพอยู่ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มทักษะและความสามารถในการทำงานให้สูงขึ้น อาจเป็นความรู้ความชำนาญเฉพาะอย่างหรือความรู้สามารถทั่วไปก็ได้ ทั้งนี้เพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน
1.2.2. การพัฒนาตนเอง เป็นวิธีการที่แต่ละคนแสวงหาความรู้ ทักษะ และสมรรถนะเพิ่มขึ้น โดยการเตรียมการและริเริ่มของตนเอง ตามความสนใจและความจำเป็นในการประกอบอาชีพ เช่นจากการอ่าน เรียนจากตำรา วิทยุโทรทัศน์หรือสื่อมวลชนอื่นๆ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความรู้และทักษะที่จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. การจัดให้มีบริการสาธารณสุขและการแพทย์ที่ดี เป็นวิธีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ช่วยให้ผู้ใช้แรงงานมีสุขภาพดีขึ้น อันจะทำให้สมรรถภาพในการทำงานดีขึ้นด้วย ทำการผลิตได้นานและผลิตได้มากขึ้น
3. การให้สวัสดิการและการให้กำลังใจในขณะปฏิบัติงาน เพื่อจะได้เป็นผู้มีสุขภาพจิตที่ดีและมีแรงจูงใจที่จะทำงาน
4. การปรับปรุงภาวะโภชนการ เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานรู้จักรับประทานอาหารที่มีคุณค่า อันส่งผลให้มีสุขภาพแข็งแรง มีประสิทธิภาพในการผลิตสูงขึ้นในที่สุด
5. การอพยพย้ายถิ่น เป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อีกวิธีหนึ่ง ที่ทำให้กำลังแรงงานมีประสบการณ์ใหม่ๆ และเป็นการจัดสรรทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกับการผลิดในระบบเศรษฐกิจ
จากวิธีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ดังกล่าว จะเห็นว่าวิธีการให้การศึกษาเป็นวิธีที่สำคัญที่สุด จัดกันมากที่สุด เพียงแต่จะต้องเป็นการจัดการศึกษา ที่สามารถตอบสนองความต้องการกำลังคนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นแค่การจัดการศึกษาเพื่อการศึกษา
---------------------------------------------------------
สาระคำ
กำลังแรงงาน (Labour force) หมายถึง ผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน ทั้งผู้ที่มีงานทำและไม่มีงานทำ แต่ประสงค์จะทำงานและสามารถทำงานได้
---------------------------------
วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
สาเหตุของการศึกษาที่สูญเปล่า
ความสูญเปล่าของการศึกษา อยู่ที่การไม่สามารถพัฒนาคนให้มีลักษณะตามที่สังคมต้องการได้ กลับก่อให้เกิดปัญหาใหม่ๆขึ้นในสังคม นักการศึกษาได้พยายามศึกษาวิเคราะห์ว่า เหตุใดการศึกษาจึงสูญเปล่า พบว่า
การวางแผนการศึกษาไม่สัมพันธ์กับข้อเท็จจริงและความต้องการทางสังคม ปกติการจัดการศึกษาจะต้องเริ่มด้วยการวางแผน แต่พบว่าเป็นการวางแผนที่ขาดข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน หรือมีการวางแผนแต่ไม่ปฏิบัติตามแผน ผลก็คือ การศึกษาไม่ได้มีเป้าหมายที่สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตามที่ต้องการ กลายเป็นการศึกษาเพื่อสนองความต้องการของผู้ปกครองประเทศมากกว่าเพื่อมวลชน
เป็นระบบการศึกษาที่นำรูปแบบมาจากแหล่งอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบของประเทศตะวันตก เพราะเชื่อว่าระบบการศึกษาในประเทศเหล่านั้นทำให้ประเทศพัฒนา หากนำมาใช้บ้างก็น่าจะทำให้ประเทศพัฒนาไปได้เช่นกัน แต่พบว่าระบบการศึกษาที่นำเข้า ไม่สอดคล้องกับระบบสังคมวัฒนธรรม ระบบครอบครัว ระบบเศรษฐกิจและค่านิยม มีผลทำให้ขาดบูรณาการระหว่างการศึกษาในระบบโรงเรียนกับชีวิตการทำงาน เป็นการศึกษาที่ไม่สนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ แต่สนองความต้องการของคนในเมืองใหญ่ เป็นคนกลุ่มเล็กๆที่มีอิทธิพล ที่ควบคุมและใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ส่วนระดับอุดมศึกษาก็มุ่งสนองความต้องการทางด้านบริหารและการค้า แทบจะไม่สนใจปัญหาชนบท ระบบการศึกษาที่นำเข้าจึงไม่เพียงแต่ไม่สนองความต้องการที่แท้จริงของประเทศแล้ว ยังทำให้เกิดภาวะพิการขยายความด้อยพัฒนาให้กว้างขวางออกไป
หลักสูตรส่วนมากจะเน้นหนักทางด้านวิชาการ เป็นหลักสูตรที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพในอดีตที่เจริญมากกว่าจะเป็นภาพอนาคตของประเทศ เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้สอนให้ผู้เรียนรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ แต่เน้นการเตรียมตัวเพื่อการเรียนต่อในชั้นสูง จนทำให้คนที่พลาดโอกาสไม่ได้เรียนสูงๆ กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ของสังคม ระบการศึกษากลายเป็นกระบวนการที่นำไปสู่ความแปลกแยกระหว่างผู้เรียนกับชีวิตจริง
ระบบการศึกษามีแนวโนมที่จะผลิตกำลังคนเพื่อทำงานในเมือง นอกจากจะเป็นระบบการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการในอนาคตของผู้เรียน และความต้องการเชิงพัฒนาสังคมที่ผู้เรียนอาศัยอยู่ ยังพบว่าเป้าหมายของการศึกษา มุ่งที่จะสร้างชนชั้นกลางเพื่อรับใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม การได้ออกจาการใช้ชีวิตในชนบทกลายเป็นแรงจูงใจของการศึกษาอย่างหนึ่ง
มีรูปแบบการเรียนการสอนที่ไม่เหมาะสมกับแนวโน้มของการพัฒนา การเรียนการสอนใช้วิธีการจำเป็นสำคัญ จำแบบนกแก้วนกขุนทอง โดยจำสิ่งที่ดีที่สุดในอดีต ความดีที่เป็นมาในอดีต ผลก็คือ ผู้จบการศึกษา จะมีความเชื่อฟังต่อระเบียบ มีจิตใจที่จะรักษาสิ่งที่ดีๆไว้ มีสติปัญญาตามรูปแบบ ยอมรับอดีต ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง พอใจที่ได้เรียนรู้เรื่องราวในอดีตเพื่อประโยชน์ของอดีต นอกจากนั้น ยังพบว่าการเรียนการสอน มุ่งเน้นการฝึกหัดรับการถ่ายทอดข้อมูล แทนการสร้างความเข้าใจและการสร้างสรรค์
ผลของการศึกษาในลักษณะดังกล่าว จึงเป็นการผลิตคนที่มีความรู้ทางทฤษฎีโดยอาศัยการท่องจำ คนที่ไม่ค่อยมีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง ทำอะไรไม่ค่อยเป็นหรือไม่ค่อยกล้าที่จะทำอะไร รวมทั้งไม่ชอบทำงานหนัก จึงไม่อาจใช้การศึกษาผลิตคนเพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าตามที่ต้องการได้ นับว่าเป็นการศึกษาที่สูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง
-------------------------------------------------------------------------------
สาระคิด
การศึกษาเป็นสิ่งที่ดี ยิ่งมากยิ่งดี แต่การศึกษาแบบผิดๆ จะทำลายทรัพยากรมนุษย์
--------------------------------------------
การวางแผนการศึกษาไม่สัมพันธ์กับข้อเท็จจริงและความต้องการทางสังคม ปกติการจัดการศึกษาจะต้องเริ่มด้วยการวางแผน แต่พบว่าเป็นการวางแผนที่ขาดข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน หรือมีการวางแผนแต่ไม่ปฏิบัติตามแผน ผลก็คือ การศึกษาไม่ได้มีเป้าหมายที่สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตามที่ต้องการ กลายเป็นการศึกษาเพื่อสนองความต้องการของผู้ปกครองประเทศมากกว่าเพื่อมวลชน
เป็นระบบการศึกษาที่นำรูปแบบมาจากแหล่งอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบของประเทศตะวันตก เพราะเชื่อว่าระบบการศึกษาในประเทศเหล่านั้นทำให้ประเทศพัฒนา หากนำมาใช้บ้างก็น่าจะทำให้ประเทศพัฒนาไปได้เช่นกัน แต่พบว่าระบบการศึกษาที่นำเข้า ไม่สอดคล้องกับระบบสังคมวัฒนธรรม ระบบครอบครัว ระบบเศรษฐกิจและค่านิยม มีผลทำให้ขาดบูรณาการระหว่างการศึกษาในระบบโรงเรียนกับชีวิตการทำงาน เป็นการศึกษาที่ไม่สนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ แต่สนองความต้องการของคนในเมืองใหญ่ เป็นคนกลุ่มเล็กๆที่มีอิทธิพล ที่ควบคุมและใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ส่วนระดับอุดมศึกษาก็มุ่งสนองความต้องการทางด้านบริหารและการค้า แทบจะไม่สนใจปัญหาชนบท ระบบการศึกษาที่นำเข้าจึงไม่เพียงแต่ไม่สนองความต้องการที่แท้จริงของประเทศแล้ว ยังทำให้เกิดภาวะพิการขยายความด้อยพัฒนาให้กว้างขวางออกไป
หลักสูตรส่วนมากจะเน้นหนักทางด้านวิชาการ เป็นหลักสูตรที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพในอดีตที่เจริญมากกว่าจะเป็นภาพอนาคตของประเทศ เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้สอนให้ผู้เรียนรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ แต่เน้นการเตรียมตัวเพื่อการเรียนต่อในชั้นสูง จนทำให้คนที่พลาดโอกาสไม่ได้เรียนสูงๆ กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ของสังคม ระบการศึกษากลายเป็นกระบวนการที่นำไปสู่ความแปลกแยกระหว่างผู้เรียนกับชีวิตจริง
ระบบการศึกษามีแนวโนมที่จะผลิตกำลังคนเพื่อทำงานในเมือง นอกจากจะเป็นระบบการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการในอนาคตของผู้เรียน และความต้องการเชิงพัฒนาสังคมที่ผู้เรียนอาศัยอยู่ ยังพบว่าเป้าหมายของการศึกษา มุ่งที่จะสร้างชนชั้นกลางเพื่อรับใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม การได้ออกจาการใช้ชีวิตในชนบทกลายเป็นแรงจูงใจของการศึกษาอย่างหนึ่ง
มีรูปแบบการเรียนการสอนที่ไม่เหมาะสมกับแนวโน้มของการพัฒนา การเรียนการสอนใช้วิธีการจำเป็นสำคัญ จำแบบนกแก้วนกขุนทอง โดยจำสิ่งที่ดีที่สุดในอดีต ความดีที่เป็นมาในอดีต ผลก็คือ ผู้จบการศึกษา จะมีความเชื่อฟังต่อระเบียบ มีจิตใจที่จะรักษาสิ่งที่ดีๆไว้ มีสติปัญญาตามรูปแบบ ยอมรับอดีต ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง พอใจที่ได้เรียนรู้เรื่องราวในอดีตเพื่อประโยชน์ของอดีต นอกจากนั้น ยังพบว่าการเรียนการสอน มุ่งเน้นการฝึกหัดรับการถ่ายทอดข้อมูล แทนการสร้างความเข้าใจและการสร้างสรรค์
ผลของการศึกษาในลักษณะดังกล่าว จึงเป็นการผลิตคนที่มีความรู้ทางทฤษฎีโดยอาศัยการท่องจำ คนที่ไม่ค่อยมีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง ทำอะไรไม่ค่อยเป็นหรือไม่ค่อยกล้าที่จะทำอะไร รวมทั้งไม่ชอบทำงานหนัก จึงไม่อาจใช้การศึกษาผลิตคนเพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าตามที่ต้องการได้ นับว่าเป็นการศึกษาที่สูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง
-------------------------------------------------------------------------------
สาระคิด
การศึกษาเป็นสิ่งที่ดี ยิ่งมากยิ่งดี แต่การศึกษาแบบผิดๆ จะทำลายทรัพยากรมนุษย์
--------------------------------------------
วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
สภาพของการศึกษาที่สูญเปล่า
เป็นที่ยอมรับกันว่า การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ใช้ในการพัฒนามนุษย์ให้เป็นทรัพยากรที่มีค่า เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ แต่การศึกษาที่มีสภาพต่อไปนี้ จัดว่าเป็นการศึกษาที่สูญเปล่า เป็นการศึกษาที่ไม่สนองตอบความต้องการกำลังคนของประเทศ กล่าวคือ
เป็นการศึกษาที่มีลักษณะแคบ (insular) เป็นการเรียนการสอนที่ขาดการวางแผนล่วงหน้า เป็นการสอนอย่างหยาบๆ โดยมีกิจกรรมที่สำคัญคือ ฟัง สังเกต อ่าน และเขียน กิจกรรมของครูคือ บรรยาย อบรมความประพฤติ ให้งานนักเรียนทำและสอบ เป็นการเรียนการสอนตามทฤษฎี ที่ไม่ได้สร้างทักษะที่จำเป็น
โรงเรียนมีลักษณะต่อต้านประชาธิปไตย เป็นแหล่งของอำนาจวาสนาทางสังคม ทั้งๆที่ เชื่อว่าการศึกษานั้นสามารถสนับสนุนเป้าหมายของการพัฒนา สร้างความเป็นพี่น้องของคนในชาติ และส่งเสริมเกียรติของความเป็นมนุษย์ได้ก็ตาม
ผูู้บริหารประเทศและประชาชนมีเป้าหมายทางการศึกษาที่ต่างกัน กล่าวคือ ผู้บริหารประเทศหวังจะใช้การศึกษา เพื่อให้สถานะภาพของประเทศสูงขึ้นในสายตาของชาวโลก ตลอดจนเพื่อเผยแพร่ทัศนคติใหม่ๆที่ทันสมัย ส่วนประชาชนหวังว่าการศึกษาจะช่วยทำให้ตนเองห่างไกลจากการทำงานที่ต้องใช้มือหรือใช้แรงงาน เห็นการศึกษาเป็นหนทางที่จะนำไปสู่การทำงานเบาๆในสำนักงาน เป็นเสมียนหรือข้าราชการ
เป็นการศึกษาที่สร้างทัศนคติที่กระตุ้นให้เรียนสูงขึ้น ผู้จบระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา มุ่งที่จะเรียนสูงในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อได้ปริญญา ส่วนมากเป็นปริญญาทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ประกอบกับการศึกษาขั้นต่ำนั้นไม่จบในตัวเอง ไม่ช่วยให้ผู้เรียนทำงานได้ ถนนทางการศึกษาแทบทุกสายจึงมุ่งสู่ปริญญา จนเกิดปัญหาการว่างงานของผู้มีการศึกษาสูง
เป็นการศึกษาที่ไม่ได้จัดเพื่อคนส่วนใหญ่ แต่เป็นการศึกษาเพื่อคนส่วนน้อย ที่มุ่งสร้างชนชั้นนำเป็นสำคัญ
เป็นการศึกษาที่ปฏิเสธอดีตและไม่สนใจอนาคต เน้นการฝึกหัดรับข้อมูล แทนการสร้างความเข้าใจไม่สอนให้รู้จักคิดเพื่อแก้ปัญหา มีรูปแบบการเรียนการสอน ที่ไม่เหมาะสมกับแนวโน้มของการพัฒนา
โดยสรุป สภาพการศึกษที่สูญเปล่า เป็นระบบการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของสังคม กลับผลิตคนที่มีแนวความคิดและค่านิยมผิดๆที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนา ทั้งๆที่มีการทุ่มงบประมาณเพื่อการศึกษาเป็นอับดับต้นๆ ก็ตาม
----------------------------------------------------------------------------------
สาระคิด
เพราะไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ ที่จะช่วยให้การวางแผนสอดคล้องกับความเป็นจริง สถาบันการศึกษาจึงเต็มไปด้วยสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้
George M. Foster
--------------------------------------------------------------
เป็นการศึกษาที่มีลักษณะแคบ (insular) เป็นการเรียนการสอนที่ขาดการวางแผนล่วงหน้า เป็นการสอนอย่างหยาบๆ โดยมีกิจกรรมที่สำคัญคือ ฟัง สังเกต อ่าน และเขียน กิจกรรมของครูคือ บรรยาย อบรมความประพฤติ ให้งานนักเรียนทำและสอบ เป็นการเรียนการสอนตามทฤษฎี ที่ไม่ได้สร้างทักษะที่จำเป็น
โรงเรียนมีลักษณะต่อต้านประชาธิปไตย เป็นแหล่งของอำนาจวาสนาทางสังคม ทั้งๆที่ เชื่อว่าการศึกษานั้นสามารถสนับสนุนเป้าหมายของการพัฒนา สร้างความเป็นพี่น้องของคนในชาติ และส่งเสริมเกียรติของความเป็นมนุษย์ได้ก็ตาม
ผูู้บริหารประเทศและประชาชนมีเป้าหมายทางการศึกษาที่ต่างกัน กล่าวคือ ผู้บริหารประเทศหวังจะใช้การศึกษา เพื่อให้สถานะภาพของประเทศสูงขึ้นในสายตาของชาวโลก ตลอดจนเพื่อเผยแพร่ทัศนคติใหม่ๆที่ทันสมัย ส่วนประชาชนหวังว่าการศึกษาจะช่วยทำให้ตนเองห่างไกลจากการทำงานที่ต้องใช้มือหรือใช้แรงงาน เห็นการศึกษาเป็นหนทางที่จะนำไปสู่การทำงานเบาๆในสำนักงาน เป็นเสมียนหรือข้าราชการ
เป็นการศึกษาที่สร้างทัศนคติที่กระตุ้นให้เรียนสูงขึ้น ผู้จบระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา มุ่งที่จะเรียนสูงในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อได้ปริญญา ส่วนมากเป็นปริญญาทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ประกอบกับการศึกษาขั้นต่ำนั้นไม่จบในตัวเอง ไม่ช่วยให้ผู้เรียนทำงานได้ ถนนทางการศึกษาแทบทุกสายจึงมุ่งสู่ปริญญา จนเกิดปัญหาการว่างงานของผู้มีการศึกษาสูง
เป็นการศึกษาที่ไม่ได้จัดเพื่อคนส่วนใหญ่ แต่เป็นการศึกษาเพื่อคนส่วนน้อย ที่มุ่งสร้างชนชั้นนำเป็นสำคัญ
เป็นการศึกษาที่ปฏิเสธอดีตและไม่สนใจอนาคต เน้นการฝึกหัดรับข้อมูล แทนการสร้างความเข้าใจไม่สอนให้รู้จักคิดเพื่อแก้ปัญหา มีรูปแบบการเรียนการสอน ที่ไม่เหมาะสมกับแนวโน้มของการพัฒนา
โดยสรุป สภาพการศึกษที่สูญเปล่า เป็นระบบการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของสังคม กลับผลิตคนที่มีแนวความคิดและค่านิยมผิดๆที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนา ทั้งๆที่มีการทุ่มงบประมาณเพื่อการศึกษาเป็นอับดับต้นๆ ก็ตาม
----------------------------------------------------------------------------------
สาระคิด
เพราะไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ ที่จะช่วยให้การวางแผนสอดคล้องกับความเป็นจริง สถาบันการศึกษาจึงเต็มไปด้วยสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้
George M. Foster
--------------------------------------------------------------
วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ทรัพยากรมนุษย์เป็นพลังงาน ทักษะ พรสวรรค์และความรู้ของประชาชน ที่สามารถนำไปใช้เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคม ทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยที่สำคัญและจำเป็นต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม
การพัฒนาคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ให้ดีขึ้น จึงจำเป็นต่อความสำเร็จทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
และวัฒนธรรม หากประเทศใดไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาระบบต่างๆดังกล่าวจะเป็นไปได้ยาก
ประเทศด้อยพัฒนาส่วนใหญ่ จะประกอบด้วยพลเมืองที่ด้อยพัฒนา ทรัพยากรธรรมชาติ การช่วยเหลือและการค้าขายกับต่างประเทศ แม้จะมีความสำคัญแต่ไม่เท่าทรัพยากรมนุษย์ที่ได้รับการพัฒนา
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จึงเป็นตัวบ่งชี้การพัฒนาที่ตรงกับความเป็นจริงและน่าเชื่อถือกว่าตัวบ่งชี้อื่นๆ เพราะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและวัฒนธรรม
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีความหมายตรงกับ การสร้างทุนมนุษย์ ในทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งหมายถึงกระบวนการให้ได้มา หรือ เพิ่มจำนวนของบุคคลที่มีทักษะทางการศึกษา และประสบการณ์ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ เป็นกระบวนการเพิ่มความรู้ ทักษะ และสมรรถวิสัยให้แก่มนุษย์ในสังคม
ในทางเศรษฐศาสตร์ การพัฒนาทรัพย์กรมนุษย์ หมายถึง การสร้างสมทุนมนุษย์ เป็นการลงทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
ในทางการเมือง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง การเตรียมคนเพื่อเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย
ในทางสังคมและวัฒนธรรม การพัฒนามนุษย์ หมายถึง การช่วยให้มนุษย์มีชีวิตที่สมบูรณ์และมั่งคั่ง ติดยึดอยู่กับประเพณีดั้งเดิมน้อยลง
ในความหมายที่สั้นที่สุด การพัฒนามนุษย์ หมายถึงการเปิดประตูให้มนุษย์ไปสู่ความทันทันสมัย
จะเห็นว่า แนวทางการพัฒนาประเทศที่ถูกต้อง จะต้องเริ่มต้นด้วยการพัฒนามนุษย์ ให้มนุษย์มีคุณค่าต่อการพัฒนา แม้ประเทศจะมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์เพียงใดก็ตาม หากพลเมืองของประเทศส่วนใหญ่ด้อยพัฒนา การพัฒนาประเทศก็เป็นไปได้ยาก
-----------------------------------------------------------------------
สาระคิด
ประเทศด้อยพัฒนาต้องการกำลังคนระดับสูงอย่างรีบด่วน เท่าๆกับต้องการเงินทุน ถ้าประเทศเหล่านั้นไม่สามารถพัฒนากำลังคนระดับสูงขึ้นมาได้ตามที่ต้องการ ก็ไม่อาจที่จะใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพได้
Paul G. Hoffman
--------------------------------------------
การพัฒนาคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ให้ดีขึ้น จึงจำเป็นต่อความสำเร็จทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
และวัฒนธรรม หากประเทศใดไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาระบบต่างๆดังกล่าวจะเป็นไปได้ยาก
ประเทศด้อยพัฒนาส่วนใหญ่ จะประกอบด้วยพลเมืองที่ด้อยพัฒนา ทรัพยากรธรรมชาติ การช่วยเหลือและการค้าขายกับต่างประเทศ แม้จะมีความสำคัญแต่ไม่เท่าทรัพยากรมนุษย์ที่ได้รับการพัฒนา
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จึงเป็นตัวบ่งชี้การพัฒนาที่ตรงกับความเป็นจริงและน่าเชื่อถือกว่าตัวบ่งชี้อื่นๆ เพราะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและวัฒนธรรม
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีความหมายตรงกับ การสร้างทุนมนุษย์ ในทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งหมายถึงกระบวนการให้ได้มา หรือ เพิ่มจำนวนของบุคคลที่มีทักษะทางการศึกษา และประสบการณ์ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ เป็นกระบวนการเพิ่มความรู้ ทักษะ และสมรรถวิสัยให้แก่มนุษย์ในสังคม
ในทางเศรษฐศาสตร์ การพัฒนาทรัพย์กรมนุษย์ หมายถึง การสร้างสมทุนมนุษย์ เป็นการลงทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
ในทางการเมือง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง การเตรียมคนเพื่อเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย
ในทางสังคมและวัฒนธรรม การพัฒนามนุษย์ หมายถึง การช่วยให้มนุษย์มีชีวิตที่สมบูรณ์และมั่งคั่ง ติดยึดอยู่กับประเพณีดั้งเดิมน้อยลง
ในความหมายที่สั้นที่สุด การพัฒนามนุษย์ หมายถึงการเปิดประตูให้มนุษย์ไปสู่ความทันทันสมัย
จะเห็นว่า แนวทางการพัฒนาประเทศที่ถูกต้อง จะต้องเริ่มต้นด้วยการพัฒนามนุษย์ ให้มนุษย์มีคุณค่าต่อการพัฒนา แม้ประเทศจะมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์เพียงใดก็ตาม หากพลเมืองของประเทศส่วนใหญ่ด้อยพัฒนา การพัฒนาประเทศก็เป็นไปได้ยาก
-----------------------------------------------------------------------
สาระคิด
ประเทศด้อยพัฒนาต้องการกำลังคนระดับสูงอย่างรีบด่วน เท่าๆกับต้องการเงินทุน ถ้าประเทศเหล่านั้นไม่สามารถพัฒนากำลังคนระดับสูงขึ้นมาได้ตามที่ต้องการ ก็ไม่อาจที่จะใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพได้
Paul G. Hoffman
--------------------------------------------
วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
การศึกษาในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ควรจะเป็น
การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคนให้มีลักษณะที่สังคมต้องการ
การศึกษาในประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย ย่อมจะแตกต่างไปจากประเทศที่มีการปกครองแบบเผด็จการ
การศึกษาในประเทศที่มีการปกครองแบบเผด็จการ เป็นการศึกษาที่จัดโดยรัฐและเพื่อรัฐ ครูจะต้องโฆษณาชวนเชื่อและปลูกฝังในสิ่งที่ชนชั้นผู้ปกครองกำหนด ผู้เรียนจะไม่ได้รับการส่งเสริมให้รู้จักวิพากษ์วิจารณ์
ส่วนการศึกษาในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น การศึกษาจะเน้นความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นพลเมือง เน้นความสำคัญของการทำงาน การริเริ่ม ความศรัทธาในตนเอง ฯลฯ จุดมุ่งหมายของการศึกษาในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จึงควรมีลักษณะดังนี้
ผู้เรียนทุกคนควรได้รับการพัฒนาให้มุ่งประโยชน์ส่วนรวม ด้วยการเรียนรู้จากการทำงานร่วมกัน
สังคมทัศน์หรือมุมมองทางสังคมของผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนา
ผู้เรียนควรได้รับการพัฒนา ให้มีความสามารถในการที่จะคิดอย่างอิสระและสร้างสรรค์
ผู้เรียนควรได้รับการพัฒนาให้มีสมรรถภาพ ในการที่จะกลั่นกรองเอาความถูกต้องจากความผิดพลาด มีสมรรถภาพที่จะแยกแยะว่าอะไรคือข้อเท็จจริงอะไรคือโฆษณาชวนเชื่อ รู้จักปฏิเสธอันตรายอันเกิดจากความคลั่งไคล้และอคติ
ผู้เรียนควรได้รับการอบรมในเรื่องความมีเกียรติของการใช้แรงงาน
ทุกคนควรจะมีโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนอย่างเท่าเทียมกัน
ผู้เรียนควรได้รับการพัฒนาให้เทิดทูนความยุติธรรมในสังคม โดยตระหนักถึงความชั่วร้ายของสังคมที่ตักตวงเอาผลประโยชน์จากผู้ที่อ่อนแอกว่า
ผู้เรียนควรได้รับการพัฒนาให้รู้จักรักและยอมรับคนอื่นและเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์
ผู้เรียนควรได้รับการสอนให้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ไม่ควรพยายามสอนให้มีความรู้สึกว่ามนุษย์มีความเหมือนๆกัน
ผู้เรียนควรได้รับการกระตุ้นให้รู้จักการริเริ่มตลอดจนรู้จักประดิษฐ์คิดค้น
การเรียนการสอนควรแสดงให้เห็นถึงการมีทางเลือกด้านอาชีพอย่างกว้างขวาง
จะเห็นว่า การจัดการศึกษาในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น ทุกคนมีความสำคัญ จึงควรได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน และสอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล ทั้งนี้ เพื่อการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
----------------------------------------------------------------------
สาระคิด
ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนทั้งความสุขและความทุกข์
---------------------
การศึกษาในประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย ย่อมจะแตกต่างไปจากประเทศที่มีการปกครองแบบเผด็จการ
การศึกษาในประเทศที่มีการปกครองแบบเผด็จการ เป็นการศึกษาที่จัดโดยรัฐและเพื่อรัฐ ครูจะต้องโฆษณาชวนเชื่อและปลูกฝังในสิ่งที่ชนชั้นผู้ปกครองกำหนด ผู้เรียนจะไม่ได้รับการส่งเสริมให้รู้จักวิพากษ์วิจารณ์
ส่วนการศึกษาในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น การศึกษาจะเน้นความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นพลเมือง เน้นความสำคัญของการทำงาน การริเริ่ม ความศรัทธาในตนเอง ฯลฯ จุดมุ่งหมายของการศึกษาในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จึงควรมีลักษณะดังนี้
ผู้เรียนทุกคนควรได้รับการพัฒนาให้มุ่งประโยชน์ส่วนรวม ด้วยการเรียนรู้จากการทำงานร่วมกัน
สังคมทัศน์หรือมุมมองทางสังคมของผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนา
ผู้เรียนควรได้รับการพัฒนา ให้มีความสามารถในการที่จะคิดอย่างอิสระและสร้างสรรค์
ผู้เรียนควรได้รับการพัฒนาให้มีสมรรถภาพ ในการที่จะกลั่นกรองเอาความถูกต้องจากความผิดพลาด มีสมรรถภาพที่จะแยกแยะว่าอะไรคือข้อเท็จจริงอะไรคือโฆษณาชวนเชื่อ รู้จักปฏิเสธอันตรายอันเกิดจากความคลั่งไคล้และอคติ
ผู้เรียนควรได้รับการอบรมในเรื่องความมีเกียรติของการใช้แรงงาน
ทุกคนควรจะมีโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนอย่างเท่าเทียมกัน
ผู้เรียนควรได้รับการพัฒนาให้เทิดทูนความยุติธรรมในสังคม โดยตระหนักถึงความชั่วร้ายของสังคมที่ตักตวงเอาผลประโยชน์จากผู้ที่อ่อนแอกว่า
ผู้เรียนควรได้รับการพัฒนาให้รู้จักรักและยอมรับคนอื่นและเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์
ผู้เรียนควรได้รับการสอนให้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ไม่ควรพยายามสอนให้มีความรู้สึกว่ามนุษย์มีความเหมือนๆกัน
ผู้เรียนควรได้รับการกระตุ้นให้รู้จักการริเริ่มตลอดจนรู้จักประดิษฐ์คิดค้น
การเรียนการสอนควรแสดงให้เห็นถึงการมีทางเลือกด้านอาชีพอย่างกว้างขวาง
จะเห็นว่า การจัดการศึกษาในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น ทุกคนมีความสำคัญ จึงควรได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน และสอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล ทั้งนี้ เพื่อการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
----------------------------------------------------------------------
สาระคิด
ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนทั้งความสุขและความทุกข์
---------------------
วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
พื้นฐานของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมั่นคง
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี จะต้องเริ่มด้วยการเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์เป็นเบื้องต้น จากการศึกษาพบว่า มนุษย์ทุกคนต้องการได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ในเรื่องต่อไปนี้
1.การยอมรับ การยอมรับมีความจำเป็นต่อการสร้างความสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์และต่อเนื่อง ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมักพูดเสมอว่า การยอมรับผู้อื่นเป็นนโบายที่ดี แต่การยอมรับนั้น จะต้องตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่า ทุกคนมีศักดิ์ศรี และการแสดงถึงการยอมรับด้วยการไม่ดูหมิ่น การมีมรรยาทที่ดีต่อกัน ตลอดจนแสดงออกถึงความหวังดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ
การมีมรรยาทดี สามารถใช้สร้างความสัมพันธ์กับบุคลอื่นได้เป็นอย่างดี เพราะช่วยให้การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นง่ายขึ้น และมีประสิทธิผล การมีมรรยาททำให้บุคคลอื่นอยากคุยด้วย ทำให้คนอื่นสบายใจ
กล่าวโดยสรุป การยอมรับบุคคลอื่น ก็คือ การแสดงต่อคนอื่นในฐานะที่คนอื่นเป็นมนุษย์ ปราศจาการดูถุกดูแคลน มีมรรยาทดี และแสดงออกถึงความหวังดี
2.ความยุติธรรม คนทุกคนอยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อตนอย่างยุติธรรม ปราศจากการลำเอียง ซึ่งแน่นอนว่าหาความยุติธรรมที่ตรงกันได้ยาก เพราะบางคนใช้ความรู้สึกส่วนตัวตัดสินความยุติธรรม ความยุติธรรมที่ยอมรับกันทั่วไป ก็คือ ความยุติธรรมที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์หรือตามเหตุผล
จงระลึกไว้เสมอว่า ความสัมพันธ์ที่ดีนั้นเกิดจาการปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างยุติธรรมและตรงไปตรงมา
3.ความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เพราะความซื่อสัตย์เป็นผลมาจากการมีคุณธรรม การจะบอกว่าคนใดซื่อสัตย์หรือไม่ ให้ดูจาการปฏิบัติใน 3 สิ่งต่อไปนี้ว่าปฏิบัติอย่างสมำ่เสมอหรือไม่เพียงใด
คนที่มีความซื่อสัตย์ พูดอะไรออกมาผู้พูดเองก็จะต้องเชื่อคำพูดนั้น คือไม่โกหกนั่นเอง
คนที่มีความซื่อสัตย์ ไม่ดึงข้อมูลที่สำคัญๆไว้กับตน โดยเฉพาะข้อมูลที่มีผลต่อความสำเร็จของคนอื่น โดยให้ข้อมูลตามข้อเท็จจริง แม้ตัวเองจะต้องเสียประโยชน์ก็ตาม
คนที่มีความซื่อสัตย์ จะต้องเป็นตัวของตัวเอง ไม่เสแสร้ง หรือหยิ่งยะโส
ซึ่งเมื่อมีการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างยอมรับ ยุติธรรม และซื่อสัตย์อย่างสม่ำเสมอแล้ว บุคคลอื่นจะรับรู้ด้วยประสบการณ์ของเขาเองว่า บุคคลนั้นเป็นคนที่ไว้วางใจได้ เชื่อถือได้หรือไม่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้รักษาและเพิ่มความสัมพันธ์ที่มั่นคงตลอดไป
นั่นคือ การยอมรับ ความยุติธรรม และความซื่อสัตย์ เป็นพื้นฐานของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมีความมั่นคง
-------------------------------------------------------------------------
สาระคิด
"การคิดถึงตัวเองน้อยลง" เป็นการ "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" อย่างหนึ่ง
Shigeta Saito
------------------------------------------
1.การยอมรับ การยอมรับมีความจำเป็นต่อการสร้างความสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์และต่อเนื่อง ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมักพูดเสมอว่า การยอมรับผู้อื่นเป็นนโบายที่ดี แต่การยอมรับนั้น จะต้องตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่า ทุกคนมีศักดิ์ศรี และการแสดงถึงการยอมรับด้วยการไม่ดูหมิ่น การมีมรรยาทที่ดีต่อกัน ตลอดจนแสดงออกถึงความหวังดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ
การมีมรรยาทดี สามารถใช้สร้างความสัมพันธ์กับบุคลอื่นได้เป็นอย่างดี เพราะช่วยให้การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นง่ายขึ้น และมีประสิทธิผล การมีมรรยาททำให้บุคคลอื่นอยากคุยด้วย ทำให้คนอื่นสบายใจ
กล่าวโดยสรุป การยอมรับบุคคลอื่น ก็คือ การแสดงต่อคนอื่นในฐานะที่คนอื่นเป็นมนุษย์ ปราศจาการดูถุกดูแคลน มีมรรยาทดี และแสดงออกถึงความหวังดี
2.ความยุติธรรม คนทุกคนอยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อตนอย่างยุติธรรม ปราศจากการลำเอียง ซึ่งแน่นอนว่าหาความยุติธรรมที่ตรงกันได้ยาก เพราะบางคนใช้ความรู้สึกส่วนตัวตัดสินความยุติธรรม ความยุติธรรมที่ยอมรับกันทั่วไป ก็คือ ความยุติธรรมที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์หรือตามเหตุผล
จงระลึกไว้เสมอว่า ความสัมพันธ์ที่ดีนั้นเกิดจาการปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างยุติธรรมและตรงไปตรงมา
3.ความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เพราะความซื่อสัตย์เป็นผลมาจากการมีคุณธรรม การจะบอกว่าคนใดซื่อสัตย์หรือไม่ ให้ดูจาการปฏิบัติใน 3 สิ่งต่อไปนี้ว่าปฏิบัติอย่างสมำ่เสมอหรือไม่เพียงใด
คนที่มีความซื่อสัตย์ พูดอะไรออกมาผู้พูดเองก็จะต้องเชื่อคำพูดนั้น คือไม่โกหกนั่นเอง
คนที่มีความซื่อสัตย์ ไม่ดึงข้อมูลที่สำคัญๆไว้กับตน โดยเฉพาะข้อมูลที่มีผลต่อความสำเร็จของคนอื่น โดยให้ข้อมูลตามข้อเท็จจริง แม้ตัวเองจะต้องเสียประโยชน์ก็ตาม
คนที่มีความซื่อสัตย์ จะต้องเป็นตัวของตัวเอง ไม่เสแสร้ง หรือหยิ่งยะโส
ซึ่งเมื่อมีการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างยอมรับ ยุติธรรม และซื่อสัตย์อย่างสม่ำเสมอแล้ว บุคคลอื่นจะรับรู้ด้วยประสบการณ์ของเขาเองว่า บุคคลนั้นเป็นคนที่ไว้วางใจได้ เชื่อถือได้หรือไม่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้รักษาและเพิ่มความสัมพันธ์ที่มั่นคงตลอดไป
นั่นคือ การยอมรับ ความยุติธรรม และความซื่อสัตย์ เป็นพื้นฐานของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมีความมั่นคง
-------------------------------------------------------------------------
สาระคิด
"การคิดถึงตัวเองน้อยลง" เป็นการ "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" อย่างหนึ่ง
Shigeta Saito
------------------------------------------
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)