วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การฝึกอบรมเพื่อการทำงานของคนไทยในวัยเด็ก

มนุษย์ทุกคนย่อมเกิดมาในระบบวัฒนธรรม และได้รับการฝึกอบรมเพื่อให้สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ในสังคม โดยกระบวนการฝึกอบรมที่เรียกว่าการสั่งสมทางวัฒนธรรม(enculturation) และโดยวิธีนี้ วัฒนธรรมจะถูกถ่ายทอดไปสู่สมาชิกในสังคม

การทำงานเป็นพฤติกรรมทางวัฒนธรรม ที่ได้มีการฝึกอบรมและพัฒนาต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี จนมีผู้กล่าวว่า เมื่อใดที่พบว่าคนในสังคมไม่มีสมรรถภาพและไม่พอใจที่จะทำงาน เราสามารถบอกได้เลยว่า มีสาเหตุมาจากสถาบันครอบครัวและหรือ สถาบันการศึกษา แหล่งใดแหล่งหนึ่ง

บทบาทของสถาบันครอบครัว เป็นที่ยอมรับทั่วไปทั้งในหมู่นักสังคมศาสตร์และจิตวิทยาว่า สถาบันครอบครัวมีความสำคัญต่อบุคลิกภาพของคน ลักษณะต่างๆของพ่อแม่ทั้งที่ดีและไม่ดี จะมีโอกาสถ่ายทอดไปยังตัวเด็ก โดยการอบรมทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ

ความเชื่อและวิะีการต่างๆ ที่ใช้ในการอบรมเลี้ยงดูลูก มีความสำคัญต่อการสร้างบุคคล ให้เป็นกำลังสำคัญของสังคมมาก

ความแตกต่างในระดับการพัฒนา และระบอบการปกครองประเทศ อาจจะสืบไปได้ถึงความแตกต่าง ในวิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กที่ใช้กันอยู่ในสังคมนั้นๆ

เด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่รู้จักเลี้ยงดูและอบรมเด็กอย่างถูกต้อง เด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อไป ในทางตรงกันข้าม เด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่เลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนไม่ถูกต้อง จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ดีของสังคม

ฉะนั้นการจะเสริมสร้างลักษณะประจำชาติ ให้มีลักษณะส่งเสริมการพัฒนานั้น วิธีการที่ได้ผลที่สุด จะต้องเริ่มที่วิธีการอบรมเลี้ยงดูตั้งแต่วัยเด็ก ในการทำงานก็เช่นเดียวกัน การอบรมเลี้ยงดูในวัยเด็กจะมีอิทธิพลอยู่มาก

สำหรับสังคมไทย จะเน้นพฤติกรรมของคนในวัยต่างๆไม่เหมือนกัน ในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว จะเน้นหนักในเรื่องการเที่ยวเล่นสนุกสนาน หาความสุขจากการรื่นเริงบันเทิงต่างๆ  ในวัยกลางคน จะเน้นหนักในเรื่องการทำงาน การสร้างหลักฐานให้แก่ครอบครัว การเที่ยวเพื่อความสนุกสนานจะลดน้อยลง ส่วนวัยชราจะเน้นหนักในเรื่องการทำบุญ สะสมบุญ ซึ่งเปรียบเสมือนการแสวงหาทรัพย์สินติดตัวไปใช้ในชาติหน้า

ซึ่งจะเห็นว่า ในวัยเด็ก เด็กไทยไม่ได้รับการฝึกอบรมให้รู้จักการทำงาน หรือเห็นความสำคัญของการทำงานเท่าที่ควร เพราะเห็นว่าไม่ถึงวัยที่เหมาะสม

นอกจากนั้น ยังพบว่าเด็กไทยไม่ได้ถูกสอนให้พึ่งตนเองตามประสาเด็ก แต่ถูกสอนให้พึ่งผู้อื่น เพื่อความพอใจของตนเอง  เด็กจะถูกสอนให้รู้จักแหล่งที่พึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่

เด็กจะถูกสอนทั้งโดยตรงและโดยอ้อมว่า แม่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง แม่เป็นผู้มีบุญคุณต่อลูก ซึ่งเป็นการเน้นการพึ่งแม่มากขึ้น เด็กกำพร้าจึงเป็นบุคคลที่น่าสงสารมาก เนื่องจากไม่มีที่พึ่ง

เด็กไทยเติบโตขึ้นมาด้วยความดีของคนอื่น ด้วยการนับถือและเชื่อฟังผู้ใหญ่ การที่เด็กเชื่อในความฉลาดและการคุ้มครองของผู้ใหญ่  เด็กจะได้รับความรักจากผู้ใหญ่ และเป็นเด็กดีตามความหมายของสังคมไทย

จากการวิจัยพบว่า ความนิยมในการพึ่งตนเองของเด็กไทยอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กในวัฒนธรรมที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจสูง

ในสังคมไทย การฝึกอบรมให้เด็กช่วยตนเองมีบ้าง แต่เป็นการฝึกเพื่อประโยชน์ของพ่อแม่ เช่น การแบ่งเบาภาระ มากกว่าที่จะให้เด็กเห็นคุณค่าของการช่วยตัวเอง หรือมากกว่าที่จะเป็นการฝึกหัด เพื่อช่วยสร้างสรรค์ลักษณะบุคลิกภาพที่ดีงามแก่เด็ก

ยังพบต่อไปว่า แม่ไทยมักจะปกป้องเด็กมากเกินไป ถ้าหากแม่ไทยมองเห็นคุณค่าของความอิสระของลูกมากขึ้น และเปิดโอกาสให้เด็กรู้จักช่วยตัวเองมากขึ้น ก็คาดหวังได้ว่า เด็กจะพัฒนาบุคลิกภาพที่มีความกล้าเสี่ยง กล้าเผชิญ และกล้าที่จะแสดงตัวมากกว่าเดิม

บางคร้ังพ่อแม่ยังสร้างค่านิยมผิดๆให้เกิดขึ้นกับเด็ก เช่น ถ้าลูกไปโรงเรียนแล้วกลับมาบ้าน จะไม่ยอมให้ทำงานอื่น เพื่อให้เด็กได้พักผ่อน ทำให้เด็กคิดว่าเด็กมีหน้าที่เรียนอย่างเดียว ยังไม่ถึงวัยที่ต้องทำงาน

บทบาทของสถาบันการศึกษา การใช้ระบบการศึกษาเพื่อการฝึกอบรมให้รู้จักการทำงานเพื่อการผลิต เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป เพราะการศึกษาเป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต โดยพัฒนาคุณภาพของแต่ละคนให้เจริญเต็มที่ มีความสมารถในการผลิต

ในประเทศที่ต้องการเปลี่ยนแปลงจะต้องยอมรับว่า การศึกษาและการทำงานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และควรเริ่มตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย

จริงอยู่ ความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพในการทำงานของมนุษย์ สามารถพัฒนาได้หลายทาง แต่ที่เด่นที่สุด ก็คือ การพัฒนาโดยอาศัยการศึกษาในระบบ โดยเริ่มตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา จนถึงระดับอุดมศึกษา การศึกษาจะสร้างค่านิยม ที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติของมนุษย์ที่มีต่อการทำงาน

สำหรับการศึกษาไทย มีสภาพไม่แตกต่างจากการศึกษาในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย  ระบบการศึกษาไทยไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม  ไม่สัมพันธ์กับความต้องการอันจำเป็นของท้องถิ่นและตลาดแรงงาน อีกทั้งหลักสูตรในระดับต่างๆก้ไม่จบในตัวเอง ทำให้ต้องเรียนต่อในระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุให้คนจำนวนมากละทิ้งท้องถิ่นและอาชีพเดิมเพื่อแสวงหาความก้าวหน้าในสังคมอื่น

ระบบการศึกษาไทย ทำให้ดูเหมือนว่ามีการแยกเรื่องวิชาการและการปฏิบัติออกจากกัน ซึ่งนอกจากจะมีผลทำให้เกิดงานสองประเภทในสังคม คืองานใช้สมองและงานที่ใช้แรงงานแล้ว ยังเป็นผลทำให้เกิดความคิดว่า ผู้ทำงานประเภทแรกเป็นบุคคลชั้นสูง และประเภทหลังเป็นบุคคลชั้นต่ำ

การเน้นเนื้อหาหนักในด้านวิชาสามัญ  ทำให้เด็กมุ่งเรียนสูงขึ้น เพราะไม่สามารถประกอบอาชีพได้เมื่อสำเร็จการศึกษา

โรงเรียนมัธยมศึกษาสายสามัญของไทย จัดอยู่ในรูปแบบเพื่อการจำ โรงเรียนแบบนี้จะเน้นหนักไปในทางศึกษาความดีที่มีมาในอดีต ซึ่งเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีค่าควรแก่การเรียนรู้ กิจกรรมในโรงเรียน คือการจำแบบนกแก้วนกขุนทอง นักเรียนมีกิจกรรมที่สำคัญ คือ ฟัง สังเกต อ่าน ท่อง และ เขียน กิจกรรมของครูคือบรรยาย อบรมความประพฤติ และให้งานนักเรียนทำ  โดยนักเรียนจะทำกิจกรรมเหมือนๆกัน

การปฏิบัตตามที่เป็นอยู่จริงในชีวิตในระบบการสอนมีอัตราส่วนที่น้อยมาก เด็กไทยจึงไม่อาจทำงานใดๆได้ เมื่อจบขั้นตอนของการศึกษาแต่ละระดับ

การวัดผลการเรียนมิได้วัดผลของการพัฒนา แต่เป็นการวัดผลเพื่อหาคำตอบว่าได้หรือตก การแก้ปัญหาและวิธีแก้ปัญหาได้อาศัยแต่เพียงคำพูด

ในที่สุดการศึกษาเล่าเรียน จึงกลายเป็นกระบวนการท่องจำ และแสดงความคิดเห็นจากการท่องจำเท่านั้น

ในการบริหารหลักสูตร พบว่า ปัญหาที่มีมากที่สุดอันดับหนึ่ง คือการไม่สามารถจัดบริหารตามหลักสูตรได้เต็มที่ เพราะมีปัญหาต่างๆ เช่น ครู อุปกรณ์ และสถานที่  เป็นต้น โรงเรียนไม่สามารถปลูกฝังนิสัยหนักเอาเบาสู้ ไม่รังเกียจงานหนักให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนได้ นักเรียนยังรังเกียจงานที่ทำด้วยมือหลายอย่าง เช่น การล้างคอกสัตว์ การให้อาหารสัตว์ ฯลฯ

จากการวิจัยเกี่ยวกับการประกอบอาชีพอิสระยังพบว่า ผู้ประกอบอาชีพอิสระมีระดับการศึกษาเพียงระดับชั้นประถมศึกษา ส่วนกลุ่มผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป และมีข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า ในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระมีผู้ที่ไม่ได้เรียนในระบบโรงเรียนถึงร้อยละ 10 แต่ในกลุ่มผู้ว่างงานกลับไม่มีเลย
                       ------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก: ไพศาล  ไกรสิทธิ์  วัฒนธรรมการทำงานของคนไทย ปริญญานิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต (สาขาวิชาพัฒนศึกษาศาสตร์)  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
                        --------------------------------------------------------------------------------

                                                            สาระคิด

การอบรมเลี้ยงดูเด็กไทย มีหลักต้องปฏิบัติ 3 ประการ คือ ทำทุกสิ่งทุกอย่างแทนเด็กโดยเฉพาะเด็กผู้ชาย  คุ้มครองไม่ให้เด็กเกิดอันตราย และให้ความสนุกสนานแก่เด็ก
                                                                           Henry M. Graham
                      ******************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น