เดิมเชื่อกันว่าประเทศชาติจะก้าวหน้าพัฒนาไปได้ จะต้องมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ แต่พบว่า มีหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้ เอเซียใต้ หรือเอเซียอาคเนย์ ต่างก็มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ แต่ถูกจัดให้เป็นได้แค่ประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศในโลกที่สาม
นักสังคมศาตร์จึงได้พยามศึกษาเพื่อหาว่า อะไรคือตัวกำหนดการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ในที่สุดพบว่า มนุษย์หรือเรียกให้เป็นวิชาการหน่อยว่า องค์ประกอบเชิงมนุษย์นั่นเอง เป็นตัวกำหนดการพัฒนา
กล่าวคือ การพัฒนาจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะการกระทำของมนุษย์ และตัวที่กำหนดการกระทำของมนุษย์คือวัฒนธรรม จึงไม่ผิดที่จะสรุปว่า วัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดการพัฒนา
โดยนักสังคมศาสตร์มีความเห็นว่า การพัฒนานั้นเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม กล่าวคือการเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคและทางวัตถุ จะต้องสอดคล้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติ แนวความคิด ค่านิยม ความเชื่อและพฤติกรรมของประชาชน
การพัฒนาประเทศ คือการเปลี่ยนแปลงแบบแผนชีวิตในด้านต่างๆ ของคนที่อยู่ร่วมกันในประเทศ
การพัฒนาจะได้ผล จะต้องคำนึงถึงลักษณะสำคัญทางสังคมและวัฒนธรรม ถ้าการเปลี่ยนแปลงใดไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงจะดำเนินไปได้ยาก และหากจำเป็นต้องเปลียนแปลงหรือพัฒนาจะต้องเริ่มด้วยการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมเป็นเบื้องต้น
ส่วนคำถามที่ว่า เหตุใดการพัฒนาจึงเกิดขึ้นในบางประเทศและไม่เกิดขึ้นในอีกหลายประเทศ คำตอบคือว่าประเทศเหล่านั้นมีวัฒนธรรมต่างกัน ทำให้เกิดการพัฒนาเร็วช้าต่างกัน
ในประเทศพัฒนา คนในสังคมพอใจอย่างสูง ที่จะเอาชนะธรรมชาติและเงื่อนไขทางสังคม มีความเชื่อว่าสถานการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา ไม่ใช่เป็นส่ิ่งขวางกั้นที่ทำให้เกิดความหมดหวัง แต่เป็นสิ่งท้าทายความเฉลียวฉลาดของคน และเชื่อว่ามนุษย์สามารถทำได้สำเร็จเกือบจะทุกอย่าง
ในประเทศพัฒนา มีค่านิยมที่จะผลักดัันให้แต่ละบุคคลแสวงหาความก้าวหน้า ค้นหาความสามารถเฉพาะตัว แล้วนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ไม่รังเกียจงานและยกเลิกการถือชั้นวรรณะที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน
ในประเทศพัฒนา ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยบุคคลที่ถือหลักเหตุผล มีความตั้งใจที่จะรอเพื่อสนองความพอใจที่ยิ่งใหญ่กว่าในอนาคต เน้นผลสัมฤทธิ์มากกว่าสถานภาพและเกียรติยศ มีความสำนึกต่อส่วนรวม มีความสามารถทำงานเป็นกลุ่มโดยมีเป้าหมายร่วมกัน
ในประเทศพัฒนา ศาสนาถูกตีความไปในทางที่สอนให้คนรับผิดชอบต่อตนเอง และมีระเบียบวินัยในการดำเนินชีวิต ทำงานหนัก และไม่ยอมปล่อยตนให้หลงใหลในความฟุ่มเฟือย
ในประเทศพัฒนา คนส่วนใหญ่จะมีทัศนคติ ค่านิยมและความเชื่่อในการที่จะยอมรับสิ่งใหม่ ยอมรับการริเริ่ม ที่จะกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมการพัฒนา ตลอดมีแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนแปลง
ในประเทศพัฒนา คนส่วนใหญ่มีความจริงจัง และมีระเบียบวินัยในการดำเนินชีวิต มีความกระเหม็ดกระแหม่ ประหยัด และทำงานหนัก วัดคุณค่าของคนจากการทำงานไม่ใช่จากชาติตระกูล
ส่วนประเทศด้อยพัฒนา จะมีลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมไปอีกรูปแบบหนึ่ง มีลักษณะที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนา และบางสังคมมีลักษณะทางวัฒนธรรมที่เป็นอุสรรคต่อการพัฒนาด้วยซ้ำไป
ในประเทศด้อยพัฒนา จะมีประเพณีซึ่่งประกอบด้วยศาสนา ค่านิยม และโครงสร้างทางสังคมที่ไม่สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มีค่านิยมที่เน้นคุณค่าทางจิตใจมากกว่าคุณค่าทางวัตถุ เน้นความสำคัญของชีวิตหลังจากที่ตายไปแล้วหรือชีวิตในชาติหน้า มีการลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิต
ในประเทศด้อยพัฒนา คนในสังคมมีความพยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติและเงื่อนไขทางสังคมต่ำมาก อย่างกรณีน้ำท่วมหรือฝนแล้ง ก็เชื่อว่าเกิดจากธรรมชาติที่มนุษย์ไม่อาจแก้ไขได้
ในประเทศด้อยพัฒนา มีลักษณะทางวัฒนธรรมหลายประการ ที่เป็นอุปสรรคหรือไม่เอื้อต่อการพัฒนา เช่น การคิดแต่จะหาความสุขในปัจจุบัน ไม่รู้จักคุณค่าของเวลา ขาดระเบียบวินัยในการทำงาน ทำงานเป็นกลุ่มไม่เป็น มีการใช้จ่ายเพื่อพิธีกรรมสูง ใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อการเฉลิมฉลอง เป็นต้น
นั่นคือ หากต้องการจะพัฒนาประเทศให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ จะต้องเริ่มด้วยการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมเดิม และเสริมสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่เอื้อต่อการพัฒนา หากไม่มีการเริ่มในลักษณะดังกล่าว การพัฒนาจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดการพัฒนาดังกล่าวแล้ว
-----------------------------------------------------------
สาระคิด
การมุ่งแต่อนุรักษ์วัฒนธรรมโดยไม่ยอมปรับเปลี่ยน อาจจะกลายเป็นการอนุรักษ์ความด้อยพัฒนาก็ได้
----------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น