วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

โลกาภิวัตน์:ที่มาและความหมาย

เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว กระแสโลกาภิวัตน์ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในวงการวิชาการของไทย เป็นกล่าวถึงในเชิงบวก เพราะเป็นแนวความคิดใหม่จากตะวันตก ซึ่งปกติคนไทยก็ยอมรับโดยไม่มีข้อสงสัยอยู่แล้ว  แต่ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ พบว่า ที่ผ่านมากระแสโลกาภิวัตน์ก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากมาย

ที่พูดถึงโลกาภิวัตน์อีกครั้งหนึ่ง  ก็เพื่อให้มีการทบทวนว่า กระแสโลกาภิวัตน์  เป็นแนวความคิดที่ดี ที่เหมาะสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยเราจริงหรือ

ความจริงโลกาภิวัตน์มีอยู่ 2 ยุค ยุคแรกเกิดมาพร้อมกับสงครามโลกครั้งที่ 1 และได้ล่มสลายในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1930  ประเทศที่เกี่ยวข้องกับโลกาภิวัตน์ในยุคนั้น เป็นประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา  มีเจตนาที่จะทำให้ความไม่เสมอภาคระหว่างประเทศเหล่านั้นที่ประกอบด้วยคนเชื้อสายเดียวกันหมดไป  ทำให้สินค้า ทุน และแรงงานสามารถไหลเข้าออกได้อย่างเสรี

ส่วนโลกาภิวัตน์ในยุคปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2  เกิดจาการประชุมเจรจาการค้าที่รู้จักกันในชื่่อ แกตต์ (GATT)  ซึ่งได้ตกลงที่จะยกเลิกข้อกำหนดบางอย่าง  เกี่ยวกับภาษีศุลกากรและการค้า  เพื่อให้เกิดการค้าเสรี และการประชุมรอบอุรุกวัย (The Uruguay Round) มีผลทำให้เิกิดองค์การค้าโลก (WTO)  เป็นตัวกลางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้า เกิดสนธิสัญญามาสทริชท์ (Masstricht Treaty) ซึ่งเป็นสัญญาเพื่อความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองของประชาคมยุโรป  เกิดแนฟต้า (NAFTA) เพื่อลดอัตราภาษีีศุลกากรและอุปสรรคทางการค้า

ต่อมาการตกลงในลักษณะนี้ ได้เกิดขึ้นทั้งในลักษณะทวิภาคีและพหุภาคี  กว้างขวางออกไปเกือบทั่วทุกมุมโลก

คำว่า "โลกาภิวัตน์" ตรงกับภาษาอังกฤษว่า "Globalization" ซึ่งหมายถึง "การทำให้เป็นโลกเดียวกัน" ทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นหมู่บ้านเดียวกัน ที่สามารถติดต่อสื่อสารและทำกิจกรรมร่วมกันของประชาคมโลกได้สะดวกรวดเร็ว

ในตอนแรกที่ไทยเริ่มรู้จักคำๆนี้ นักวิชาการนิยมใช้คำว่า "โลกไร้พรมแดน" ต่อมาเปลี่ยนเป็นไปใช้คำว่า "โลกานุวัตร" อยู่พักหนึ่ง  ในความหมายที่ว่า "ประพฤติตามโลก" คือสังคมโลกเปลี่ยนไปในทางใดก็เปลี่ยนตามๆกันไป

แต่ในที่สุดก็เปลี่ยนมาใช้ "โลกาภิวัตน์" อย่างในปัจจุบัน ซึ่งหมายถึง การกระจายทั่วโลก ประชาคมโลกไม่ว่าจะอยู่ณที่ใด สามารถรับรู้ สัมพันธ์ หรือรับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นความหมายที่ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับระบบสารสนเทศ  ที่ก่อให้เกิดการกระจายหรือเกิดผลกระทบไปทั่วโลก

นอกจากนั้น โลกาภิวัตน์ อาจหมายถึง กระบวนการหรือกลุ่มของกระบวนการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เป็นความสัมพันธ์ทางสังคม อันมีเหตุมาจาก การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีการสื่อสาร การขนส่ง เกิดสภาพโลกไร้พรมแดน ทำให้ส่วนต่างๆของโลกมีความใกล้ชิดมากขึ้น สามารถเพิ่มการแลกเปลี่ยนระหว่างบุคคล  มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เกิดความเป็นมิตรระหว่างพลเมืองโลก

โลกาภิวัตน์เป็นการเชื่อมระหว่างสังคมทั้งในด้านกว้าง ลึก และความรวดร็ว ทั้งในการดำเนินชีวิต จนถึงการประกอบอาชญากรรม 

โลกาภิวัตน์อาจมองได้ในหลายมิติ กล่าวคือ

โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ หมายถึง  การเชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก การค้าระหว่างประเทศ การไหลเข้าออกของทุน และการอพยพย้ายถิ่น

โลกาภิวัตน์ทางสิ่งแวดล้อม หมายถึง การกระทบต่อโลก  เนื่องจากการกระทำของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อม

โลกาภิวัตน์ทางวัฒนธรรม หมายถึง การเชื่อมโยงทางภาษาและวิถีชีวิต

โลกาภิวัตน์ทางการเมือง หมายถึง การยอมรับมาตรฐานทางการเมืองของโลก เช่น สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และมีการร่วมมือประสานงานกับรัฐบาลทั่วโลกในเรื่องเหล่านี้

จะเห็นว่าโลกาภิวัตน์แม้จะเริ่มด้วยมิติทางเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันได้เกี่ยวข้องกับทุกมิติของโลก ไม่ว่าจะเป็นมิติทางเศรษฐกิจ ทางสิ่งแวดล้อม ทางวัฒนธรรม หรือทางการเมือง การยอมรับกระแสโลกาภิวัตน์ของคนไทยจึงต้องรับด้วยความระมัดระวัง  มิฉะนั้นจะลอยตามกระแสโลกาภิวัตน์โดยไม่มีจุดยืนเป็นของตนเอง
                                      ------------------------------------------------------------

                                                                  สาระคำ

                                    GATT = General Agreement on Tariffs and Trade.

                                    WTO  = World Trade Organization.

                                    NAFTA = The North American Free Trade Agreement.
                                               -----------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น